ลองดีกับดีแทครุ่นที่ 4 Orientation day [part3]

ในที่สุดก็เดินทางมาถึง part สุดท้ายของ วัน Orientation day จนได้!!! วันเดียวล่อไป 3 part บางทีก็ "เยอะ" ไปนะ~

จาก part2 ที่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า พี่ๆลองดีรุ่นก่อนก็มาเล่าให้ฟัง พี่ๆเค้ามาพูดกันเป็น group ที่เคยไปฝึกงาน มากันทีละกลุ่มๆ เท่าที่พยายามฟัง สามารถจับใจความได้ดังนี้

1 ต้องศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ เพราะที่เรียนมา มันใช้ไม่ได้หรอก

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
ในกรณีของเราที่เรียน Computer Science และมาฝึกงานใน Technology Group จึงถือว่าค่อนข้างเป็นอะไรที่ตรงสาย ไม่แหวกแนวมากนัก ...ความรู้ที่เรียนมา มันก็มีส่วนได้ใช้ประโยชน์นะ เพียงแต่มันเป็นพื้นฐานมากๆ ทำให้เราเข้าใจหลักการมากขึ้น แต่ก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมมากขึ้นเยอะเหมือนกัน เพราะ Software ระดับ Enterprise มันไม่มีให้เรียนนี่หน่า :)



2 ปรับตัวเค้าหาพี่เค้า ไม่ใช่ให้เค้าปรับตัวเค้าหาเรา

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
นับจากวันแรกที่เข้าไปฝึกงาน จนถึงวันนี้ อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องจริง สมควรจำไปทำจริงๆ ในกรณีที่เราได้ไปอยู่สถานที่ใหม่ ไม่คุ้นเคย และมีแต่คนที่อาวุโสกว่าเราอยู่ เราต้องเป็นคนเข้าไปแนะนำตัว ไปถามว่ามีอะไรให้ช่วยไม๊ หรือพี่ว่างจะสอนไม๊ หรืออันนี้หนูทำพังอ่าค่ะ ทำไงดีอ่า? ...จวบจนวันนี้...วันที่เลิกฝึกงานไปแล้ว เราก็ยังติดต่อกับพี่ๆเค้าอยู่ (ผ่าน Facebook) เพราะ Connection กับคนดีๆ ไม่ได้หาได้ง่ายๆ อย่าละเลยคนที่เค้าดีกับเรา มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง!!!



3 กาลเทศะ ความเคารพ มีมารยาท ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
อันนี้ถือเป็นหลักปฎิบัติขั้นพื้นฐานเลยนะ ตอนฝึกงานก็ไม่เคยไปสายนะ (ยกเว้นวันที่ฝนตก อันนั้นสายไปประมาณ 15 นาที) 
เราควรถือหลักตรงต่อเวลา(Follow International Time, NOT Thai Time นะคะ) การมาสายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า หรือไม่มีเหตุผลอันสมควร ถือเป็นเรื่องที่แย่มากๆ ไม่ว่าจะทำอะไร โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า Timing เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ
กาลเทศะ ความเคารพ มีมารยาท ถือเป็นวัฒนธรรมไทยอันดีงามของประเทศไทย ก็มีอยู่บ้างนะ ที่พอสนิทก็จะเริ่มแซวแรงๆ ด้วยความเคยชิน แต่ก็ขอโทษตามไป เพราะเราไม่รู้ว่า พี่เค้าจะคิดมากหรือเปล่า ทางที่ดีก็คิดก่อนพูดแหละค่ะ (แต่บางทีมันก็ลืมไปจริงๆนะ เพราะพี่เค้าก็เล่นกับเราด้วยนี่หน่า)
ความรับผิดชอบ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องมีอยู่แล้วค่ะ หากไม่มีความรับผิดชอบต่ออะไรซักอย่างแล้ว เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือนะ



4 ไม่เข้าใจให้ค้นคว้าเองก่อนที่จะเข้าไปถาม ควรจะจดรวมๆเข้าไป

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
เพราะสมัยนี้มีอากู๋ Google ให้ใช้ และแหล่งค้นคว้าหาความรู้ก็มีอยู่มากมาย ถ้าไม่ใช่ internet หนังสือที่ใช้ในแผนกก็สามารถช่วยได้นะ (เพียงแต่ อ่านๆไปแล้วก็จะเกิดอาการวูบเอาง่ายๆ) เรื่องไหนที่ไม่ได้จริงๆ ก็ mark เอาไว้ แล้วค่อยเข้าไปถาม ให้พี่เค้าอธิบาย เพราะว่า พี่แผนกเรายุ่งมาก!!! (จริงๆนะ) การที่พี่เค้าเสียสละเวลา มาสอน มาอธิบาย มาตอบคำถาม ก็เป็นการรบกวนเวลางานพี่เค้านะ แต่พี่ๆเค้าก็เต็มใจที่จะสอนเรา แก้ไขความผิดพลาดให้ รักพี่ๆจังเลยค่ะ <3



5 เข้าหาพี่เค้าให้ถูกจังหวะ อย่าไปช่วงที่พี่เค้ายุ่งๆ และ อย่ากลัวที่จะเข้าไปหา

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
ก็คล้ายๆกับเรื่องกาลเทศะเหมือนกันนะ ต้องมองดีๆว่า คิ้วพี่เค้าขมวดติดกันอยู่หรือเปล่า หรือไม่ก็ ขอบตาดำเหมือนคนไม่ได้นอนหรือเปล่า (เพราะบางทีแผนกเราต้องทำงานกันยันรุ่งเช้า ตอนสายๆ พี่ก็จะมาทำงานกันแบบซอมบี้หน่อยๆ) แต่บางทีก็ไม่รู้หรอก ว่าเค้ายุ่งมากหรือยุ่งน้อย แต่ไม่ยุ่งอะ ไม่มี!!! เพราะปัญหามาทุกวัน (จริงๆนะ) ก็เดินไปถามๆเอา (อย่ากลัวที่จะเข้าหาไงล่ะ) ถ้าพี่เค้าไม่ว่าง เค้าก็จะบอกว่า รอแป๊บนึงนะ ไม่ก็ให้พี่คนอื่นช่วยแทน แต่พี่ๆเค้าไม่เคยว้ากเราเลยนะ สงสัยจะเป็นความโชคดีจริงๆ ที่ได้มาฝึกงานที่แผนกนี้



6 อย่าทำตัว idle นั่งเล่นไปวันๆ หางานที่ควรทำ หรือสิ่งที่ควรเรียนรู้

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
เอาจริงๆแล้ว เราก็เล่น Facebook เหมือนกันนะ อันนี้ขอสารภาพบาป เพราะว่าการอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ มันง่วงนี่หน่า > < บางทีก็ไม่ได้เล่นหรอก เพราะว่า หลับเลย! แต่!! เพื่อนร่วมงานเรามากกว่านะที่หลับ ส่วนเรารอถ่ายรูปเพื่อนๆที่หลับดีกว่า 555 ... พอพี่ๆเห็นว่า เราแอบหมดแรงกับการทำ Lab Software พี่ๆเค้าก็จะลากไปประชุมงาน(จริงๆ)ด้วย ฝึกงานแผนกนี้ เข้าห้องประชุมเยอะมาก เข้ามันหลายแบบมาก แล้วพอเข้าไป นอกจากได้นั่งฟังการทำงานจริงๆแล้ว ส่วนมากพี่เค้าก็จะอธิบายให้ฟังว่า มันเป็นโปรเจคอะไร เกิดอะไรขึ้น แล้วหาทางแก้ยังไง เราชอบตอนเข้าห้องประชุมมากกว่าตอนนั่งอยู่หน้าคอมในแผนกเยอะเลยแหละ เหมือนได้เจออะไรใหม่ๆตลอดเวลา แถมไปเจอพี่แผนกอื่น บางทีเค้าก็ช่วยสอนด้วยนะ พี่ๆที่นี่ใจดีมากๆเลยแหละ



7 เวลาสองเดือนนั้นสั้นนัก เก็บเกี่ยวให้เต็มที่ พี่เค้าอาจจะไม่รู้ว่าจะให้ทำอะไร เราต้องบอกว่าเราอยากทำอะไร

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
เวลาสองเดือนสั้นจริงๆ ตอนที่มาฝึกงานวันแรก ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่า "อีกตั้งสองเดือนแหนะ" แต่พอวันสุดท้ายของการทำงานจริงๆ กลับใจหายอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อคิดว่า อาทิตย์หน้า จะไม่ได้มาเจอพี่ๆเพื่อนๆ ไม่ได้มาเจอบรรยากาศแบบนี้อีกแล้ว ...ถึงแม้จะได้เรียนรู้ ได้ลงมือทำอะไรมามากมาย ก็ยังแอบคิดอยู่เล็กๆว่า อยากรู้เรื่องอื่นๆมากกว่านี้ อยากทำนู่นอยากทำนี่ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว...การทำงานในที่ที่ทำแล้วมีความสุข เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ
ส่วนเรื่องพี่เค้าอาจจะไม่รู้ว่าให้ทำอะไร อันนี้เรื่องจริงเลย แต่ พี่ที่เค้ารับเราเข้ามาแผนก เค้าบอกพี่ๆในทีมว่า "ไม่ได้เอาน้องมาให้ใช้งาน ให้น้องมาเรียนรู้" ...แล้วก็ประมาณว่า เรายังต้องการคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถอีกมาก... แล้วพี่เค้าก็เอา plan คร่าวๆว่า ตลอดสองเดือนเราจะต้องเรียนรู้อะไร ให้พี่คนไหนมาสอน ... โหย สุดยอดมากเลยค่ะพี่ > < " แต่เอาตามจริงแล้วก็ไม่ได้เรียนตาม plan หรอกนะ บางอันก็ไม่ได้เรียน เพราะว่าพี่เค้าไม่ว่างสอนจริงๆ ... ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ : )



8 สาย Technology ฝรั่งเยอะ และไม่ใช่ภาษา English แท้ด้วย

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
ฝรั่งเยอะจริงๆ ชอบมาคุยงานกับหัวหน้าใหญ่ แล้วภาษาอังกฤษก็แบบฟังไม่ค่อยจะออกจริงๆด้วย เพราะว่าเป็นอินเดียซะเยอะ มีครั้งหนึ่งเข้าไปฟังฝรั่งอินเดียพูดในห้องประชุม ถึงขั้นจะบ้าตาย นอกจากฟังไม่ค่อยออกแล้ว ยังไม่รู้เรื่องเนื้อหาที่เค้าพูดด้วย -- ก็ไม่เคยเรียนนี่หน่า T T -- แต่ก็ได้พี่ในแผนกช่วยอธิบายให้ฟัง ขอบคุณนะคะ ^^" แต่ฝรั่งที่เป็นระดับหัวหน้า Group อันนี้ฟังรู้เรื่องกว่านะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเหมือนกันคือ "น่ารัก" ทั้งภาษาและท่าทาง 



9 รับงานที่ assign มาแล้ว ต้องทำให้เสร็จ

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
มันก็เป็นเรื่องความรับผิดชอบอีกนั่นแหละ พี่(หรือเพื่อน หรือใครก็ตาม) เค้าให้ทำอะไร ก็ทำให้เสร็จ (ถ้าได้รับมอบหมายแล้ว แสดงว่าเค้าไว้ใจให้เราเป็นคนลงมือทำไม่ใช่เหรอไง) หรือไม่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะการที่เรารับงานใครมาแล้ว หากเราทำไม่สำเร็จ อาจหมายถึง ความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงต่อส่วนรวมก็เป็นได้ และเราก็จะไม่น่าเชื่อถือ และไม่น่าไว้ใจอีกต่อไป



10 เก่งไม่สำคัญเท่ากับความตั้งใจ

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
เพราะความเก่ง มันฝึกกันได้!!! (ถึงแม้เราฝึกเท่าไหร่ก็เก่งไม่เท่ากับเพื่อนร่วมงานของเรา Bank Kitanan น่ะนะ = =") ความพยายาม ความอดทน ต่างหากล่ะที่เป็นสิ่งสำคัญ หากเราท้อแล้ว ทุกอย่างก็จบ เพราะแรงบันดาลใจมันก็หมด ชีวิตก็จบเห่และ
แต่อยากให้คิดไว้อีกอย่างว่า คนเราต่างกัน...พยายามเท่าไหร่ ก็อาจจะเก่งไม่เท่าคนอื่นเค้าหรอก...ไม่ได้บอกให้ไม่มีความพยายามนะ แต่ก็ไม่ได้ให้ท้อ เพียงแต่ให้เป็นกำลังใจให้ตัวเองในยามที่เซ็งชีวิตสุดๆ ให้คิดไว้ว่า คนเราต่างกัน ย่อมมีข้อดี และข้อด้อยที่ต่างกัน บางเรื่องที่เรามี คนที่เรากำลังอิจฉาเค้าอยู่ เค้าอาจจะไม่มีก็ได้นะ ... ต้องหัดมองโลกให้กว้าง และหลากหลายแง่มุม ชีวิตจะได้มีความสุข



11 เวลาทำอะไรให้จดด้วย

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
คือปกติก็เป็นคนชอบจดอยู่แล้วอะนะ ไม่งั้นจะเป็น lecturer ภาคเหรอ + = + 
แต่ด้วยคำพูดที่พี่เค้าบอกว่า จด detail การทำงานไปเลย ... การฝึกงานที่ดีแทคแห่งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเขียนบันทึกประจำวัน นับแต่วัน orientation จวบจนถึงวันนี้... เราก็ยังจดบันทึกเรื่องสำคัญๆอยู่ เพราะฉะนั้นจงอย่าแปลกใจว่าทำไม เราถึงจำรายละเอียดอะไรได้มากมาย ที่จำได้ ส่วนหนึ่งก็มาจากการจดนี่แหละ การจดช่วยทำให้เราจำอะไรๆได้ดีขึ้น เหมือนได้ย้อนอดีตกลับไปวันวานอีกครั้ง การที่ได้เจอทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี ทำให้เราได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้เศร้า หรือแม้แต่มีน้ำตา แต่ที่สำคัญคือ "ได้คิด" ...แล้วทุกสิ่งอันก็หล่อหลอมให้เป็นตัวเราในวันนี้



12 พักเที่ยง 12.00 - 13.00 ถ้า late เค้าก็ไม่ว่าหรอก แต่เราต้องรู้จักละอาย

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
มันก็เป็นเรื่องความรับผิดชอบ และการตรงต่อเวลาแหละนะ มันเป็นวัฒนธรรมพื้นฐานที่ทุกคนพึงมี แต่พอไปฝึกงานจริงๆ พี่ๆในแผนกก็ทำให้เราได้รู้ว่า พี่ๆเค้าไปกินกันตอน 12.30 และกลับมาเวลา 13.30 ถ้านับชั่วโมงการพักแล้ว ก็เท่ากัน พี่เค้าบอกว่า ออกตอนนี้ ทำให้ไม่ต้องไปเบียดคนอื่น เป็นตรรกะที่ดีจริงๆค่ะ !! แต่ถ้าหากเราไม่ได้ไปกินกับพี่ๆเค้า แต่ไปกับเพื่อนๆแทน ก็จะไปตอน 12.00 และกลับมาให้ทันภายใน 13.00 ให้ได้ แม้บางทีจะ late บ้างก็ตาม แหะๆ >//<



13 ทำความรู้จักเพื่อนให้ครบทุกคน อย่าทำตัว Close ให้มาก

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอีกหนึ่งเรื่อง ที่เราไม่สามารถสนิทได้กับทุกคน :( ทั้งๆที่ใจจริงอยากจะสนิทกับทุกคน อาจจะเป็นเพราะ พื้นฐานลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน รวมไปถึงสายงาน แผนการเรียน และอื่นๆ และเราก็เป็นคนประหลาดด้วยแหละมั้ง ถ้าไม่รู้จักกันจริงๆ ก็อาจจะมองเราเป็นคนอีกแบบก็ได้นะ 55 แต่การฝึกงานครั้งนี้ถือว่าได้เจอเพื่อนที่ดีและน่ารักมากๆ แม้ช่วงเวลาฝึกงานจะไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ แต่พอไปทำกิจกรรมร่วมกัน ก็สามารถคุยกันได้ ... นี่แหละนะ ที่เป็นข้อดีอีกข้อ ของการมาฝึกงานที่นี่ มิตรภาพทุกคนดูเหนียวแน่นมากๆเลย ^ ^



14 สาย Technology เอกสารทุกอย่างล้วนเป็น English

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
ตอนแรกที่ได้ฟัง เกือบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายให้ได้ 55 แต่มันก็เรื่องจริงแหละนะ เอกสารทุกอย่างที่ใช้ไม่ว่าจะในรูปแบบกระดาษ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรืออะไรก็ตาม มันเป็น English ! ความจริงตอนเรียนมา ที่ภาควิชาก็สอนแบบ Slide English เกือบทั้งหมด แค่ อ. เค้าพูดเป็นภาษาไทยเท่านั้นเอง ... แต่ก็ยังไม่วายตกใจอยู่ดี (ตลกตัวเอง 55) แต่เอกสาร English มีประเด็นอยู่อย่างหนึ่งคือ เราใช้เวลาอยู่กับมันได้น้อยกว่าภาษาไทย เพราะอาการวูบจะมาเร็วกว่า เยอะ!!! อ่านๆแล้วจะเริ่มตาลาย หัวสมองเริ่มไม่รับ แล้วสุดท้ายก็ไหลตาย ~ ~# ทั้งๆที่รู้ดีว่า English สำคัญ แต่ก็ชอบแค่ฟังเพลง ดูหนังมากกว่าอยู่ดี <--แย่ชะมัด



15 Priority ช่วงเวลาทำงาน พี่สำคัญกว่าเพื่อน

[ความเห็นส่วนตัวของเราหลังการฝึกงาน]
ความจริงมันก็เป็นเชิงกาลเทศะด้วยแหละนะ ตอนเราไปฝึก ถ้าเราจะไปไหนจริงๆ(และไม่มีอะไรทำอยู่) ก็จะบอกพี่ในแผนกไว้ซักคนก่อน พี่เค้าจะได้รู้ว่าเราหาย(หัว)ไปไหน ให้คิดไว้เสมอว่า เรามาฝึกงานอยู่กับเค้า ก็ควรจะเกรงใจเค้าไว้!!! ถึงแม้ว่าพี่เค้าจะใจดีขนาดไหนก็ตาม เพราะถ้าเกิดเค้ามีเรื่องอะไรให้เราทำ หรือว่างจะสอนเราพอดี แล้วเราไม่อยู่ มันก็ไม่ควร จริงไม๊ล่ะ?

แล้วก็มีปิดท้าย(เอาเท่าที่จำได้)ว่า

dtac เป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมดีกว่าที่อื่น

อันนี้เป็นรูปรวมของแต่ละกลุ่มสี กับกองลูกโป่งมหาศาลที่เป่ากันจนแก้มป่อง






ปิดท้ายด้วยรูปที่ใหญ่กว่าสีอื่นอย่างเห็นได้ชัด 55



จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงประกาศผลคะแนน ...
สรุปแล้ว วัดจากความซวยในการเป่าลูกโป่งของแต่ละกลุ่มสี เพราะว่าคะแนนทั้งหลายที่ทำมาในฐาน ไม่ได้ช่วยอะไรเลย = ="


ลำดับ(คนดวงดี)เป็นดังนี้
1) น้ำตาล = 807

2) ชมพู(เหา) = 731


3) ส้ม = 696


4) เขียว = 568
5) แดง = 164
6) ม่วง(เหา) = 144

ก่อนแยกย้ายกันกลับ ก็เอา สำเนาบัตรประชาชน และ สำเนาบัญชีธนาคาร ให้พี่อี๊(หัวมังแกว)ก่อน

แล้วก็ได้รับการนัดหมายให้มาเจอกันที่ชั้น 31 ในวันพรุ่งนี้ เวลาทำงาน! เพื่อที่พี่ๆที่ดูแลทั้งสามคนจะพาเข้าไปในแผนก...

หลังจากแยกย้าย ก็เดินวนๆชั้น 38 กับ Bank Pintoung เพื่อทำการ survey สถานที่ซะหน่อย จะบอกว่าเห่อก็ใช่แหละ ยอมรับ 55

แล้วก็ลงลิฟท์มากับ ใหม่ Bank สุมา บัว เบลล์ นัท

ขณะลงมาที่ MRT เจอกับ "อิคคิว" ที่ลงบันไดเลื่อนผิดฝั่ง คือ ตั้งใจจะไปทางหัวลำโพง แต่ดันลงบันไดเลื่อนที่จะไปบางซื่อ > <" //บางทีเราก็เคยนะ เดินแบบไม่ได้คิดอะไร พอมาถึงก็งง ว่ามาทำอะไรตรงนี้ 55

ใน MRT ขากลับ เจอกับ มาร์ค เลยได้เมาท์กันนิดหน่อย ... แล้วเราได้อีเมล์ของเทอมา เทอยังจำได้ไม๊นะ 55 ... มาร์คลงสถานีพหลโยธิน แล้วต่อรถตู้ไป รังสิต (ก็เรียน มศว. องครักษ์นี่หน่า)


และแล้วก็...จบวัน Orientation เพียงเท่านี้ :)

ยังมีเรื่องราวการฝึกงาน ลองดีกับดีแทค รุ่นที่ 4 อีกมากมาย
Coming soon~

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์ตรงกับการโดน Facebook บังคับเปลี่ยนชื่อ ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "รอ"

สองชั่วโมง สองที่เที่ยว ด้วย เรือหางยาว เจ้าพระยา

น้องนีโม่ กับ โรคฉี่หอม