รวมความรู้ จาก iYWC9 [3] Coz* (@priwziest) iS a Web Content!!

และแล้ว รวมความรู้ จาก iYWC9 ก็เดินทางมาถึงบทสุดท้ายจนได้ (น้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ) สำหรับความรู้ part นี้ เป็นความรู้ที่ได้จากการเข้าอบรมแยกตามสาขาค่ะ ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เริ่มเลยแล้วกันค่ะ

สำหรับ Course Web Content มีวิทยากรหลักๆด้วยกัน 2 ท่านคือ
  • พี่ปอง @jakrapong
  • พี่บอย @macroart
และส่วนที่สร้างความเข้าใจมากขึ้น คือ
  • พี่โก๋ @ripmilla 
บอกไว้ก่อนนะคะว่านี่เป็น lecture ที่จดในห้อง ส่วน slide ที่พี่ปองบอกจะเอาขึ้น blog เราก็หาไม่เจอค่ะ = ="


พี่ปอง 
@jakrapong

พี่ปองเล่าประวัติส่วนตัวของตัวเองคร่าวๆว่า
เคยเป็นนักข่าว ทำ manager.co.th ปัจจุบันมีคนเข้าดู 3.2 ล้านคนต่อวัน ช่วงนั้นพี่ปองอยู่ในทีมข่าวบันเทิง (ทีมเดียวกับซ้อ7 -- แล้วตกลงซ้อแกเป็นใครกันแน่หว่า???)

http://manager.co.th/home/

เคยทำนิตยสาร mars เคยไปทำงานที่ yahoo ดูแลเว็บ Flickr ดูในส่วน yahoo group, yahoo รู้รอบ ตอนนี้เป็นนักการตลาดของ Samsung และเป็น writer ของ thumbsup.in.th 

http://thumbsup.in.th/

พี่ปองบอกว่า "สามารถทักพี่ข้างนอกได้ พี่เป็นคนความจำสั้น" หรือถ้าเป็นทาง Twitter ก็สามารถ DM ไปหาพี่เค้าได้ค่ะ

มาเริ่มเนื้อหากันเลยดีกว่า

About Web content

  • เนื้อหาสำหรับเว็บไซต์ = มีทุกอย่างที่เกี่ยวกัน ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหา ตัวอักษร รูปภาพ วีดีโอ ฯลฯ
  • รูปแบบของเนื้อหา = มีการร้อยเรียงที่ดีเข้าไว้ด้วยกัน
  • ภาพ = มีการร้อยเรื่องเป็นการ์ตูน เรื่องราว(story) animation
  • เสียง = มีการร้อยเรียงเป็นเพลง เรื่องเล่า เรื่องราว
  • จากภาพและเสียง = รายการทีวี ทำให้เว็บดูน่าเข้า น่าใช้
  • ภาพ ตัวอักษร info-graphic ที่อยู่ถูกช่วงเวลา = เอาภาพมาอธิบายผสมคำ ทำให้เกิด การย่อยง่าย เข้าใจง่าย เช่น รับมือน้ำท่วม, รู้สู้ flood ต้องคิด script ก่อนจะทำ graphic
  • การนำเสนอ ต้องคิดกันหมดแล้วว่าอะไรกี่ %
  • Content ไม่ใช่เรื่องง่าย = เนื้อหาที่ดี ภาพ เสียง วีดีโอที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องราว, เนื้อหาที่ผ่านทาง internet, computer
  • ทุกวันนี้ ใครก็ทำ content ได้ (คนเดียว, กอง บก., ทีมทีวี)
  • Citizen journalist = นักข่าวภาคประชาชน ไม่จำเป็นต้องเป็นนักข่าว ขอแค่มีมือถือ และอินเตอร์เน็ต (สามารถนำเสนอข่าวได้แล้ว)
  • ทุกคนสร้าง content ได้ แต่อาจจะไม่รู้วิธีทำให้มีคุณภาพ
  • เนื้อหาที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้ = ex: Wikipedia สามารถเขียนได้เมื่อไหร่ก็ได้ ทุกคนช่วยกัน edit ได้ ทาง back ของ wiki เชื่อว่า ทุกคนสามารถเข้าถึงเนื้อหา/ความรู้ ได้ ความรู้สามารถเป็นของฟรีได้ และมี database ที่แม่นกว่า encarta 70-80%
  • ในเมื่อเราเป็นเจ้าของสื่อเองได้ ทำไมไม่ทำ ใครที่มี blog เป็นของตัวเองอยู่ จงเขียน blog ต่อไป
  • อย่างเว็บ Pantip =  ก็เป็น community ที่มีจุดประสงค์หลักคือการ share opinion
ดูภาพทั้งหมดที่ http://9gag.com/gag/871996
  • Case1 : ทำผม โคม ปะการัง = เอาเรื่องพี่โดมมาล้อเลียน
  • Case2 : ภาพเสก ที่โดนดัดแปลง ดูดอะไรหลายอย่าง (ยา) = ภาพบอกเรื่องราวของตัวเอง 
  • เลือกช่วงเวลาในการปล่อยให้ถูก มันก็ดังได้ แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนปล่อยด้วย เช่น เรื่องเสก คนที่เป็นแฟนเป็นคนปล่อยออกมา
จะบอกอะไร?
  1. WGC = Webmaster สร้าง – ให้คนเข้ามาเว็บเราเสมอๆ และให้คนอื่นรู้จักด้วย
  2. UGC = User-generated content – pantip Wikipedia, webmaster ต้องรู้จักใช้เนื้อหาที่ผู้สร้างเป็นคนสร้างขึ้นแล้วนำเนื้อหานั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์, มีหน้าที่สอดส่องดูแลเนื้อหาให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม ***
    เช่น exteen พี่แชมป์ทำ campaign วาเลนไทน์, โปรโมทเรื่อง Japanese culture คือ ดึงเอาเนื้อหาในเว็บที่มีอยู่แล้วมาโปรโมท

โดยรวมแล้ว web content ที่ดี
ต้องให้คนมีส่วนร่วมได้ comment,*share* ได้

การทำเนื้อหาควรทำแบบสื่อสารสองทาง ให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมมากขึ้น จาก yellow pages book -> edtguide.com, yelp เป็น social network ของ US, UK ใครที่ไปใช้บริการที่ไหนแล้วชอบ เอามา share ที่นี่ได้ + คนที่มา share ก็ได้แต้ม และได้ credit ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

1.   จะทำ web concept อะไร ให้ใครใช้ และสร้างความแตกต่างในตลาดได้อย่างไร – เป็นส่วนที่บอกทิศทางของ web ว่า ทำอะไร จะเสนออะไร การเชิญชวน การใช้คำ การเลือกรูป *ต้องแตกต่างจากคนอื่น* เพื่อให้เราติดอันดับความนิยม

Case: thumbsup.in.th เกิดมากจากการชอบอ่านข่าว IT เช่น techcrunch, mashable, bbc ฯลฯ แล้วเว็บไซต์ที่มีอยู่อย่าง marketing oops, cyberbiz, blognone(geek) มันก็เฉพาะทาง ไม่ก็อ่านยากเกินไป ก็เลยเกิดไอเดียว่า **ทำเนื้อหาที่เข้าใจได้ง่าย และเป็นธุรกิจมากขึ้น** นี่คือความแตกต่าง ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการ build (ตอนนี้มีคนเข้าไปดู 60,000-100,000 คน/เดือน –  เป็นกลุ่มคนที่สนใจเทคโนโลยี) ปัจจุบันคนไทย 20-25 ล้านคนที่ใช้อินเตอร์เน็ต การลงโฆษณา เค้าก็จะเลือกเว็บที่ตรงกับกลุ่มสินค้าของเค้า – ตอนช่วงแรก ทางเว็บก็อัพข่าวรัวๆ(10ข่าว)ทุกวัน traffic  ประมาณ 70,000/เดือน พอผ่านไป 7 เดือน อัพแค่ 1 ข่าว traffic ก็ยังมี แค่ลดลงเล็กน้อย (ประมาณว่าติดตลาดแล้วนั่นเอง)

อย่าง arip จะแปลข่าวตรงๆ ถ้าของ  thumbsup.in.th จะเป็น อ่านจากหลายแหล่ง เอามายำแล้วใส่ความเห็นเราเข้าไป

  • Market – เอาเรื่องราวที่เราเล่าไปบอกต่อให้
  • Design – สบายตา สวยงาม ใช้ง่าย
  • Programming – รวดเร็ว เข้าง่าย
ทำอย่างไร??? blog (บทความ), social (ภาพ, comment), portal (เว็บทั่วไป), niche social network (มีความเฉพาะเจาะจง), e-commerse (รูปสินค้า ราคา การชักชวน*)

2.   การวางโครงสร้าง site-map
ติดต่อเรา, ผลงานบริษัท, บริการต่างๆที่บริษัทมี เวลาเข้าไปในแต่ละ link แล้ว จะเจออะไร (tree menu)

3.   วางแผนด้านเนื้อหา – ภาพ, เสียง, วีดีโอ, บทความ

“Who What When Where Why How”
  • ใครผลิต มีทีมงานไม๊ ใครเป็นคนอ่าน เหมาะกับใคร
  • ผลิตเนื้อหาอะไร
  • เมื่อไหร่บ้าง อัพเดตกี่ครั้ง อาทิตย์ละกี่ครั้ง หนึ่งในหัวใจของการทำเว็บแนวนี้คือ ความสม่ำเสมอ
  • จะเผยแพร่ที่ไหน ทำเสร็จแล้วปล่อยที่ไหน social network หรือชุมชนอะไร
  • ตั้งคำถามว่า “ทำไม” บ่อยๆ ตรงตามจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้หรือไม่ ถามตัวเองบ่อยๆว่า ทำทำไม เช่น ตั้งรายได้ 5 แสน ต้องมี view เท่าไหร่ จะมีโฆษณารายไหนสนใจบ้าง
  • การกุศล วัด KPI จาก ทำเว็บนี้ 1 เดือน ต้องมียอดบริจาค .... (เช่นบริจาคเลือด) แล้วพอทำไปได้สามเดือน ให้ลองถามตัวเองว่า ยังมีความตั้งใจแบบเดิมหรือเปล่า ถ้ามีคนสนใจเรื่องอื่นมากกว่าเลือด
  • เอาเนื้อหามาใช้ยังไง
ที่มาของเนื้อหา
  1. สร้างขึ้นเอง – ถูกใจคน(user), ถูกใจคอม SEO (google -- keyword)
    -- พาดหัว ภาพประกอบ =  thumbsup.in.th,  fail.in.th 
    -- dramaddict =  ทิ้งท้ายแรง
    “คำศัพท์น่ารู้” ของ  thumbsup.in.th  คือ SEO แบบหนึ่ง เช่น whatsapp คือ (ยังไงก็โดนของเรา) เข้ามาก็เจอเนื้อหาจริงๆ เป็นการถูกใจทั้งสองแบบ
  2. นำมาจากแหล่งอื่น – ลิขสิทธิ์, สร้างคุณค่าเพิ่ม – rewrite, translate ต้องคำนึงถึงลิขสิทธิ์* ถ้าเราเอาเนื้อหาของคนอื่นมา ควรสร้างคุณค่าเพิ่ม เพื่อที่จะได้มีจุดดึงดูดว่าทำไมเค้าถึงต้องเข้าของเรา ซึ่งเนื้อหาที่อื่นต้องเป็น creative common (สามารถให้คนอื่นเข้าไปใช้ได้)
  3. ให้ผู้ใช้สร้าง – แรงจูงใจ, พฤติกรรมผู้ใช้ – pantip, Wikipedia มาด้วยจิตอาสา อยากให้ความรู้ดีๆเป็นของฟรี ซึ่ง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง content อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ex: ทักษิณ, สนธิ
    - แรงจูงใจกลยุทธ์หนึ่งอาจเป็นการแจกของ ถ้าใครเขียนเยอะ อาจได้บัตร sth.
    - ในช่วงแรกอาจเป็นแค่ สมัครสมาชิก พอสมาชิกเยอะ ใคร generate content ได้เยอะสุด มีรางวัล 
    แต่เราก็ต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้ด้วย ถ้าฟอร์มยาก user จะคิดว่า คุ้มไม๊, ทำไมเค้าต้อง share วิธีการ share ยากหรือไม่ อาจเน้นการ ทำอะไรที่ง่ายกว่า ไม่ก็เป็นของใหม่ จึงจะสร้างความแตกต่างได้
เทคนิคการเขียน blog
  1. ขึ้นต้นตื่นเต้น กลางน่าติดตาม ท้ายจบน่าประทับใจ ให้คนจำ
  2. เขียนด้วยภาษาที่ไม่เป็นทางการ (ขึ้นกับลักษณะของ blog)
  3. อย่าเขียนยาวติดกัน คั่นสายตาเป็นพักๆ
  4. เขียนเข้าประเด็น ไม่ต้องพร่ำพรรณนา เพราะคนสมัยนี้ค่อนข้างฉาบฉวย
  5. เขียนเป็นข้อๆ เช่น 5 วิธีเดทสาว, 10 วิธีพิชิตใจชาย
  6. อ่านทุก comment และตอบทุก comment เท่าที่ทำได้
  7. อัพเดตเป็นประจำ สม่ำเสมอ ตามรอบที่ตัวเองกำหนด ให้ผู้อ่านรู้ว่าคาดหวังจากเราได้เท่าไหร่
  8. สร้างเอกลักษณ์และน้ำเสียงของเราเอง คนอื่นไม่มีทางทำได้อย่างเรา
    thumsup ใช้วิธีแบบ itv (พี่เค้าเคยไปเรียนกับ อ.สุทธิชัย หยุ่น ตัวต่อตัว)
       ข่าว itv ข่าวแรกที่ดังคือ ส่วยตำรวจ เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ แต่ไม่มีคนพูด เค้าไปแอบถ่ายกันมา เกิด Breaking news ขึ้น
    --- พี่เค้าใช้กับข่าว pantip 3G ที่จะปรับให้มีความ advance ขึ้น (พี่เค้าเป็นคนทำข่าวนี้ข่าวแรก) คนที่เอาไปทำต่อคือ กรุงเทพธุรกิจ เดลินิวส์ สรยุทธ์(อ่านออกข่าวตอนเช้า) – มันได้ออกสื่อจริง
    --- ข่าวที่สองคือ วงการโฆษณา lay off พนักงานประมาณ 40 คน ทำให้ผู้บริหารในกลุ่มนั้นโดนไล่ออกไป 1 คน แต่ด้วยความที่เราเป็น fact เราจึงไม่มีผลอะไร
    Content ถ้ามีความ exclusive และสามารถหาที่นี่ได้ที่เดียว จะทำให้มีคุณค่ามาก
    ถ้าเราไม่มี connection เหมือนนักข่าว เราควรทำยังไง?
    - เข้าไปเว็บข่าวต่างประเทศ แล้ว search ข่าวเก่า เกี่ยวกับประเทศไทยในมุมแปลกๆ แล้วลองไปเสนอดู เช่น มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก มางานแต่งงานเพื่อนเค้า(กับสาวไทย) ต้องไปหาว่าสาวคนนั้นจากสื่อเมืองนอก (ออกแนว journalism นักข่าวหนังสือพิมพ์)
  9. โปร่งใสทุกขั้นตอนเท่าที่จะทำได้ เพราะเราจะได้มีความน่าเชื่อถือ การไม่เปิดเผยตัวตน ค่อนข้างไม่ยั่งยืน ควรเขียนเรื่องจริง อย่าไปโกหกคนอ่าน เพราะมีหลายคนเป็นนักสืบ ไปตามหาว่าจริงไม๊ ถ้าไม่จริง เราก็ตาย!
  10. จบตอนท้ายด้วย call to action หรือเรียกร้องให้ทำอะไรซักอย่าง เช่น ถามคนอ่านว่า คิดเห็นอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร เป็นการกระตุ้นให้คนอ่านมีส่วนร่วม
  11. วัดผลจำนวนผู้อ่าน
    - จำนวนเพจวิว
    - จำนวนการ share, ตอบกลับ share (interaction)
    - (จำนวนรายได้ต่อหมวดหมู่เนื้อหา) เช่น พวกเว็บ portal มีหลาย category ท้ายสุดต้องมาดูว่าแต่ละหมวดสร้างรายได้ขนาดไหน ถูกใจคนอ่านขนาดไหน sale เอาไปขาย ได้รายได้เท่าไหร่ เพื่อจะได้บอกต่อไปได้ว่า ใน phase ต่อไปควรทำอะไรต่อ
บทเรียนจากการเขียนของพี่ปอง
  1. จับกลุ่มเฉพาะ (niche) เช่น ซื้อบ้าน ออนไลน์ไทยในต่างแดน รักสัตว์แบบอีกัวน่า
  2. อัพเดตสม่ำเสมอ รวดเร็ว ฉับไว (เนื้อหาลึกเป็นเรื่องดี แต่ไม่สำคัญเท่า)
กรณีศึกษา manager.co.th
   ทำตอนทักษิณขึ้นรับตำแหน่ง ตอนนั้นสนธิ(เจ้าของผู้จัดการ) เอาโดเมนมาให้ ตอนแรกจะไปจ้างเมืองนอก แต่ว่าราคาแพงมาก เค้าบอกว่าจะสร้างให้ แล้วโปรโมทต่อให้ แต่เนื่องจากมันแพง สุดท้ายก็เลยทำกันเอง ทุกวันนี้มีคนดู 3.2 ล้านคนต่อเดือน เป็นอันดับ 1-10 มาตลอด 8 ปี
   จุดเด่นคือ มีนักข่าวของตัวเอง เนื้อหาเป็น original เมื่อก่อนเป็นเรื่องของซ้อ7(เรื่องจริง) ให้หาสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น และมีความเด่นมากๆ ทำให้เค้าติดให้ได้ หนังสือพิมพ์รายวันที่ออกหนังสือพิมพ์แล้วค่อยเอาขึ้นเว็บ มีแต่คนคิดว่า เอาขึ้นเว็บแล้วใครจะซื้อหนังสือพิมพ์
บนโลก offline หนังสือพิมพ์ที่ใหญ่สุดคือ ไทยรัฐ ส่วน online คือ manager ที่ยังคงมี unique ip ต่างกัน 7 แสนกว่า ip
พี่ปองเป็นคนทำ ตัวขยายหน้าเว็บ, ข่าวที่น่าสนใจ 3 tab (ดึงข่าวที่น่าสนใจไปเรื่อยๆ แล้วเปลี่ยนทุกชั่วโมง)

กรณีศึกษา thumbsup.in.th
   Digital news เขียนเองและใส่ความเห็นด้วย แล้วก็เร็วกว่า – ข่าวไทย(เขียนเอง) ข่าวเทศ(เอาใจความมาเขียนแล้วเขียนบทวิเคราะห์ ไม่ผิดกฏหมาย)
//ช่วงเลือกตั้ง เว็บ ปชป. ถูก hack พอ thumbsup ขึ้น เดลินิวส์ , .... , สรยุทธ์ ก็นำไปออกข่าว(อีกแล้ว)

วัดผลแบรนด์บนโลกออนไลน์ มีคนเข้าดูสินค้ากี่ครั้ง onebitmatter


พี่บอย
@macroart
ช่องทางที่คนเข้า website

  1. ขาประจำ พิมพ์ url ตรงๆ / bookmark เอาไว้
  2. Link ตาม web-board, social network, ฝาก link เอาไว้
  3. Search engine ใส่ keyword แล้วได้ rank 1-10 ออกมา อย่างของ pantip ช่องทางแรกที่เข้ามาคือ search engine ส่วน blog ประมาณ 30-60% แล้วแต่ Facebook กับ Direct link ก็แปรผันกันแล้วแต่เว็บเหมือนกัน
http://www.pantip.com/
  • ส่วนแบ่งการตลาดของ search engine -> Google bing yahoo(จะปิดแล้ว)
  • ส่วนของประเทศไทยจะเป็น Google bing sanook
  • Vertical search ของไทย เช่น yellow pages


หลักการทำ SEO
Content is King, Link is Queen
  • สร้างโครงสร้างให้ link เข้ามาหาเว็บเรา อาจมีเรื่อง relevant (ความเกี่ยวข้องกัน)
  • SEO copywriting ศาสตร์และศิลป์ดั่งบทกวี
  • ตอบสนอง search engine (มีกฏเกณฑ์ ฉันทลักษณ์)
  • ตอบสนองคนเข้าเว็บ (มีความไพเราะสวยงาม)

The long tail
http://en.wikipedia.org/wiki/Long_Tail

  • Plot graph ค่าความนิยม (ค่าความขายดี)
เรื่อง 7-11 เอาของที่คนซื้อบ่อยๆมาขาย (ของ popular) ในพื้นที่เล็กๆ ตารางวาแพงๆ เพื่อให้ได้ค่าเช่าที่และกำไร
  • กราฟบอกว่า ในธุรกิจเราสนใจ popularity มากกว่า ตรงส่วนของ long tail ที่มีมูลค่าเยอะ
ทรัพยากรมีจำกัด มาตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีไม่จำกัด
ความต้องการคนมีไม่จำกัด และทรัพยากรก็ไม่จำกัด ในที่นี้คือ บิท, ไบท์ (ราคาถูกลง เก็บได้มากขึ้น)

ถ้า 7-11 ไปอยู่บน online เค้าจะสามารถขายทุกอย่างได้ที่เป็น long tail ซึ่งตรงส่วนนี้มีมูลค่าการขายได้ไม่แพ้กับส่วน popular (เช่น amazon สามเดือนขายได้เล่มเดียว รวมกันแล้วไม่แพ้กับบางเล่มที่ขายได้ทุกวัน)

การทำ SEO ต้องเลือก keyword ให้ตรง
Head ------------> A Niche
  • กรุงเทพ > โรงแรมกรุงเทพ > โรงแรม กรุงเทพ สระว่ายน้ำ , โรงแรม กรุงเทพ อินเตอร์เน็ต
  • กรุงเทพ > ผู้ว่า กรุงเทพ > สุขุมพันธ์
แนวทางการหา keyword
  1. ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าเราจะหาอะไรซักอย่าง เราจะหาด้วยคำว่าอะไร ex: ต้องการ search ดาราญี่ปุ่น นมใหญ่ ( = =")
  2. ใช้ keyword tools ช่วยแนะนำ keyword เพิ่มเติม (Google) http://www.googlekeywordtool.com/ https://adwords.google.com/
  3. ศึกษาจาก website คู่แข่ง “เกมส์ ดูดวง ฟังเพลง” เป็น 3 คำที่คนไทยค้นหามากที่สุด
  4. Keyword ที่คนค้นหาเยอะ แต่คู่แข่งน้อย

การใช้ title
สัมพันธ์กับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ หลีกเลี่ยงการตั้งชื่อที่ผู้ใช้ไม่ค้นหา เช่น หน้าแรก โฮมเพจ ยินดีต้อนรับ Untitled ywc8 เป็นต้น เว็บหนึ่งหน้ามี title อันเดียว และแต่ละหน้าควรมี title ที่แตกต่างกัน Google ให้ความสำคัญกับ 64 ตัวอักษรแรกของ title ควรเอาชื่อหัวข้อขึ้นก่อนชื่อเว็บเพจ จะได้เห็นเวลาอยู่ใน bookmark ด้วย

การใช้ meta description
ไม่มีผลกับ Google (Ranking) แต่มีผลกับผู้ใช้ เอาไว้อธิบายกับคนอ่านว่า เว็บของเราพูดถึงเนื้อหาอะไรอยู่ ควรใส่อะไรที่เห็นหน้า Google (ตัวเล็กๆ) แล้วไม่ได้มีผลอะไรกับเว็บ เช่น “โหลดฟรี 15 ท่านแรก ทำยังไงก็ได้ให้คนคลิกเราให้ได้ ควรมีความยาวไม่เกิน 250 ตัวอักษร ไม่ควร copy paste จากเนื้อหาหน้าเว็บ แต่ละหน้าไม่เหมือนกัน ควรใช้คำสละสลวย ใส่ keyword ที่แตกต่างกัน
  • Keyword Proximity เป็นเรื่องกฏเกณฑ์ ฉันทลักษณ์ อะไรที่สำคัญก็อยู่ด้วยกัน เช่น Thailand hotel ให้อยู่ติดกัน จะมี ranking ดีกว่า
  • Keyword Prominenceอะไรสำคัญให้อยู่หน้าเว็บ อยู่ย่อหน้าแรกไปเลย
  • Keyword Density มีสูตรคือ เอาคีย์เวิร์ดที่เจอในเว็บ / เอาคำทั้งหมดในหน้าเว็บ * 100% ควรเจอ 3-7 % ก็พอ
  • Keyword Density Checker เอาเว็บเราใส่เข้าไปในเว็บ แล้วจะบอกได้ว่า เราทำ seo content ได้แค่ไหน

SEO ใน blog
www.thaiebaybible.com ค้นเจอมากกว่า ebay (ประมาณ 3 ปีที่แล้ว) ตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่ได้ adsense มาเรื่อยๆ แต่ลำดับอาจจะตกลงไป ประมาณว่าทำ keyword กระจายรัวๆในตัว content เพราะเค้าเข้ามาอ่านแล้ว ก็คลิก adsense ซื้อของต่อ

Social media Content vs Bikini
   Social media makes sharing easy, but expose only the most attractive parts of yourself and cover up those things you would rather the rest of the world NOT glimpse. (see more: Why Social Media Is Like A Thong Bikini)

คุณมีเวลาเพียง 8 วินาที
  • ยาวเพียงพอที่จะครอบคลุมส่วนสำคัญ
  • สั้นเพียงพอที่จะเร้าใจคนอ่าน
ต้นตื่นเต้น กลางกลมกลืน จบจับใจ
  • พวก vdo YouTube ถ้าตั้งชื่อดี description ดี มักจะมีคนเข้าไปดูเยอะ
  • เขียนภายใน 250 ตัวอักษรให้ดี

การใช้เนื้อหาจากแหล่งอื่น
  1. ติดต่อผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    - อาศัยความสัมพันธ์กับบุคคลในหน่วยงานนั้นๆ
    - ความสดใหม่ของเนื้อหา
    - การพึ่งพิงเนื้อหาคนอื่นมากเกินไป
  2. เอาเนื้อหาเค้ามา
    - เคารพลิขสิทธิ์ สร้างเนื้อหาเพิ่ม
  • Creative commons สัญญาอนุญาต
  • Copyright / creative commons (cc) / public domain
  • อยากให้ผลงานนี้ คนอื่นเอาไปใช้ได้ แต่ยังเป็นของเราอยู่ cc
  • Attribution (by) สามารถคัดลอก เผยแพร่ ใช้งาน ดัดแปลงได้ แต่ต้องให้เครดิตกับเจ้าของผลงาน
  • Non-commercial (nc) คัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลงได้ แต่ไม่ทำเพื่อการค้า
  • No Derivative Works (nd) คัดลอก เผยแพร่ได้ ห้ามดัดแปลง
  • Share Alike (sa) เผยแพร่ได้ แต่ต้องใช้สัญญาอนุญาตเช่นเดียวกับต้นฉบับ
  • Attribution Non-Commercial No Derivative
  • Atrribution Non-Commercial Share Alike
  • Attribution Non-Commercial
  • Attribution No Derivative
  • Attribution Share Alike
  • Attribution
  • **ยังไงก็ต้องให้ credit**
  • Copyright & Public Domain
  • Copyright. All Right Reserved – เนื้อหาของเค้า และเป็นของเค้าคนเดียว
  • Public Domain – Link ที่อยู่ในเว็บ เป็น public

การสร้างคุณค่าเพิ่ม
  • Marketing oops, Sanook News **จัด tag แบ่ง group ใส่ related article เข้าไป**
  • เว็บที่ไม่ต้องการ content
  • ความลำบากคือต้นทุนของผู้ใช้
  • ใช้ Facebook Free จะ generated content ให้ fb เช่น like, post, photo, status, create app. ,,, ระดับความง่ายความยากคือต้นทุน ทำไมต้องทำ app บน Facebook เพราะอาจมีสิ่งที่จูงใจผู้ใช้

Maslow’s Hierarchy of Needs (มันมาอีกแล้ว o [ ] O !!!)
  1. Physical ปัจจัย4
  2. Safety ร่างกาย สุขภาพ อาชีพ การเงิน
  3. Love/Belonging (Social) มิตรภาพ ครอบครัว อารมณ์ ความรู้สึก
  4. Esteem  ได้รับการยอมรับ
  5. Self-actualization บรรลุ

http://en.wikipedia.org/wiki/Maslow's_hierarchy_of_needs

Technology Adoption Life cycle (พี่โก๋เสริมด้วยตัวแดงๆ)
  1. Innovators นวัตกร เช่น g+ ไม่เปิด public แต่มันต้องเข้าไปให้ได้ (อาจเขียน code เข้าไป) web แสดงศักยภาพ แต่ยังไม่มีคนเข้ามา ยังทำเงินไม่ได้ *ซื้อ iphone 4s จาก ตปท.*
  2. Early Adopters เริ่มเห็นเค้าทำ ก็เลยทำด้วย เริ่มเข้าตลาด แต่ก็ยังยากที่จะเติบโต *ฝากเพื่อนซื้อ* **Chasm ตกเหวตาย**
  3. Early Majority เห็นคนใช้เยอะ ก็เลยเข้าไปเล่นบ้าง เริ่มเป็นคนส่วนใหญ่ เว็บเป็นที่ยอมรับแล้ว *ซื้อ iphone 4s จาก มาบุญครอง*
  4. Late Majority เห็นทุกคนใช้ ก็เล่นบ้าง(แต่เริ่มนานแล้ว) *ซื้อ iphone 4s จาก ศูนย์*
  5. Laggards ไม่เล่น ไม่สนใจ *ไม่ซื้อ iphone 4s *

เก็บ user ไว้ให้ได้ ให้มี momentum กับเว็บ

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/d/d3/Technology-Adoption-Lifecycle.png
  • Web content สร้างเนื้อหาที่ดี ชวนอ่าน หรือกระตุ้นให้ผู้ใช้สร้างเนื้อหา
  • Programmer สร้างโปรแกรม บริการจัดการเนื้อหา
  • Designer ออกแบบและจัดวางเนื้อหาให้เหมาะสม ตำแหน่ง สี
  • Marketing หาคนเข้าเว็บ หารายได้ให้กับเว็บ

Career Path

  1. Content Writer –> web editor บก. คัดกรองเนื้อหา –> content manager วางกลยุทธ์ ดูตาม trend
  2. Community – content -> member relationship -> community manager
  3. SEO – content -> SEO copywriter เขียนแบบมืออาชีพ ตอบโจทย์ให้ได้ -> SEO manager เงินเดือน แสนสอง (เว็บ agency)


  • SEO คือการสร้างบ้าน ที่ทำให้บ้านหน้าเข้า ต้องรู้ content แทรก keyword ลงไปได้โดยที่เค้าไม่รู้ตัวขณะอ่าน แล้วก็ต้องรู้ program บ้าง มองสายนี้เป็นหลัก เพราะว่าเงินชัดเจน และดุเดือดสุด
  • Blogger คือ Content กับ Market แบบหนึ่ง อย่าง Review ให้หน่อย ก็จ่ายตังค์ เช่น ยืมเครื่องมือถือออกใหม่ไป test แล้วลองเล่น ถ้าสถาบันความงามมักได้ของด้วย และได้เงินด้วย 
  • เค้าว่า ไอที คือแหล่งรวมของเก่งที่หาเงินไม่เป็น
  • เขียน blog อย่างไงให้ได้ตังค์ -- ความสม่ำเสมอ ไม่ตายก็อย่าหยุดเขียน
  • blogger เขียนให้แตกต่าง อย่างเช่น ของคุณกาฝาก รีวิวเยอะ รีวิวแตกต่าง ใส่ความเห็นเข้าไปด้วย
  • อุตสาหกรรมที่ต้องการ blogger มากคือ อสังหาริมทรัพย์ แต่หาไม่ได้เท่าไหร่
  • blogger ต้องบรรยายออกมาแล้วเห็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน อาหาร
  • ต้องจับ niche ตัวเอง ไม่รับงานจับฉ่าย ถ้า review ของที่ไม่แตกต่างกันมาก ก็โอเค

Google Adsense

  • ทำเงินได้เมื่อมีคนคลิก ห้ามคลิกเอง ใส่ ad ได้ 2 ad/หน้า, เช่นการเขียนเกี่ยวกับเรื่องสุนัข ก็จะมี A-pro, pedigree ขึ้นมา ถ้ามีคนคลิก google ก็ได้เงินด้วย
  • web แต่ละแบบมีที่วาง adsense ต่างกัน ถ้าเป็น blog ให้วางหลังจบบทความไว้อันนึง, ถ้าเป็นชุมชนคนไทยต่างแดน วางทางด้าน side bar ด้านขวา ข้างล่าง login module จะดี
  • ตลาด US จะเป็น กู้เงิน อสังหา การแพทย์ จะมีเม็ดเงินผ่าน Adsense เยอะ
  • ถ้าของประเทศไทยจะเป็น ท่องเที่ยว
  • อย่าหวังเงินจากพวก Adsense มาก ถ้าเรา deal กับ brand ได้ จะดีกว่า
  • การใช้ adsense มากไป ก็ทำให้ดูน่ารำคาญ

หลังจากจบการบรรยาย พี่ๆก็ให้ทำ workshop 2 งานด้วยกัน

งานแรก เป็นการเขียนบรรยาย/ชักชวนให้คนไปสถานที่ๆกำหนดให้ โดยใช้ประโยคอย่างจำกัด ให้แบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน มีเรื่อง
  1. พระพุทธชินราช
  2. ล่องแก่งลำน้ำเข็ก
  3. ภูหินร่องกล้า
  4. ถ่ายภาพ พิพิธภัณฑ์จ่าทวี
  5. ก๋วยเตี๋ยวห้อยขา
สำหรับกลุ่มเรา ได้ทำเรื่อง ชวนคนรุ่นใหม่ไปถ่ายภาพที่พิพิธภัณฑ์จ่าทวีค่ะ พอได้โจทย์มาก็เปิด Google หาความรู้อย่างด่วน เพราะไม่รู้ว่ามันคือสถานที่อะไร เป็นแบบไหน - -" กลุ่มเราประกอบด้วย เรา และออฟจาก กลุ่ม H น้องบุ๊ค น้อง(ไอ้)นัท(ม่อน) รู้สึกว่าจะเป็นกลุ่ม D นะ หลังจากที่สุมหัวกันคิดในเวลาอันสั้น ก็ได้ออกมาเป็น

  พิพิธภัณฑ์จ่าทวี สถานที่ถ่ายภาพท่ามกลางความสงบของเมืองสองแคว ที่บอกเล่าเรื่องราว รากเหง้า เผ่าพันธุ์ ชีวิต ความเชื่อ และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาวไทย ที่จ่าสิบเอกทวีได้รวบรวมเครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านมาเก็บรวบรวมไว้ เพื่อไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา
  หากคุณเป็นผู้ที่รักในการถ่ายภาพ พิพิธภัณฑ์จ่าทวีเป็นสถานที่ที่คุ้มค่ากับการลั่นชัตเตอร์!

ได้รับ comment ว่า จบได้ดี แต่คนที่ชอบถ่ายภาพอาจจะเน้นเรื่องวิว แสง การเน้นประวัติศาสตร์มากไปอาจทำให้น่าเบื่อ (ก็จริง... ทำไมตอนนั้นถึงไม่ได้คิดเรื่องนี้นะ - -")

น่าแปลกที่ ทุกคนหาข้อติของกลุ่มอื่นได้ แต่กลับเขียนของตัวเองให้ไม่มีที่ติไม่ได้ - -" สำหรับแง่คิดใน workshop นี้คือเราต้อง ดึงจุดเด่นของสถานที่นั้นออกมาให้ได้ คิดว่าคนจะไปสถานที่นี้เพราะอะไร เขียนบรรยายและพรรณนาให้เวอร์ได้ก็ทำไปเลย อย่างเช่นที่ พี่โก๋ สอนเขียนคอนเทนต์ เกี่ยวกับเรื่อง ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาค่ะ ประมาณว่า เอาทั้ง สวาปาม เอาทั้งโซ้ย (เห็นภาพกันแบบสุดๆไปเลย)

http://www.youtube.com/watch?v=u1UVwR3ZB_U

งานที่สอง เป็นการอ่านบทความแล้วคิดวิเคราะห์บทความนั้นๆค่ะ (เก็บไว้นาน แอบยับไปหน่อย)
มันสนุกตรงที่พี่ๆเล่าเรื่องแบบมี acting ประกอบด้วยเนี่ยแหละ (ฮากันลั่นห้อง) หลังจากที่ให้คิดวิเคราะห์ ตอบคำถาม share opinion กันแล้ว ก็ไม่ได้มีใครถูกใครผิดหรอกค่ะ แต่มีแง่คิดดีๆว่า Content มีผลมากแค่ไหน การตัดบางประโยค หรือบางย่อหน้าออกไป ทำให้ใจความที่ต้องการสื่อเปลี่ยนไปได้เลย ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า Content is King ในเมื่อเราเขียนออกไปแล้ว ก็ควรจะนึกถึงไปล่วงหน้าด้วยว่าจะมีผลอะไรกับใครหรือเปล่า ก่อให้เกิดผลเสียกับใครหรือไม่ ทำไปแล้วจะดีจริงหรือ (อันนี้วิเคราะห์เพิ่มเติมค่ะ)

จบแล้วค่ะ Series รวมความรู้ จาก iYWC9

สำหรับ Blog ที่เราเขียนเกี่ยวกับ iYWC9 ประกอบด้วย
Entry หน้าจะเป็น Last entry  ของค่ายแล้วค่ะ
เป็นความรู้สึก ประสบการณ์ เรื่องราวต่างๆที่มีกับ iYWC9 
ยังไงก็อย่าลืมมาอ่านกันนะคะ ^ ^

ขอขอบคุณ Max Maxar สำหรับภาพประกอบ(ในค่าย)ที่อยู่ใน Entry นี้ค่ะ


ปล. ว่าจะไม่ใช้เวลาเขียนนานแล้วนะ ทำไมมันปาเข้าไป 4 ชั่วโมงอีกแล้วอะ T^T

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์ตรงกับการโดน Facebook บังคับเปลี่ยนชื่อ ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "รอ"

น้องนีโม่ กับ โรคฉี่หอม

สองชั่วโมง สองที่เที่ยว ด้วย เรือหางยาว เจ้าพระยา