บันทึกการเดินทาง: Tokyo 1st time การตกหลุมรัก มันเป็นแบบนี้นี่เอง (Part2)

คำเตือน: Blog นี้ภาพเยอะมาก กรุณาเชื่อมต่อ Wifi 


สามารถอ่านเรื่องราวก่อนหน้าได้ที่นี่ > บันทึกการเดินทาง: Tokyo 1st time การตกหลุมรัก มันเป็นแบบนี้นี่เอง (Part1)

เช้า(ตรู่)แล้วยังอยู่บนที่นอน... #ไม่ใช่แล้ว ตื่นค่ะตื่น วันนี้เป็นสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่นี่แล้วนะ ห้ามเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวค่ะ Go Go Go

ยังไม่ทันออกจากที่พัก ฝนก็ตก นี่ตกไม่หยุดตั้งแต่เมื่อคืนเลยใช่ไม๊เนี่ย ช่างมันค่ะ ฝนก็ไม่สามารถหยุดการเดินทางของเราได้ ไปสถานที่แรกกันเล้ยยยย

การเดินทางของเราเริ่มต้นด้วยการนั่งรถไฟสาย Ginza Line มาลงสถานี Asakusa แล้วก็เดินผ่านซอย (ที่ร้านค้าต่างๆ ยังไม่เปิดกัน)





ข้ามถนนอีกนิดนึง ก็เจอเลย วัดเซนโซจิ หรือที่เราเรียกกันว่า วัดอาซากุสะ นั่นเอง



วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ จนบางคนนิยมเรียกว่าวัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดวัดหนึ่งของเมืองโตเกียว ที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะและเที่ยวชมได้ทั้งตัววัดและบริเวณภายนอก
โดยจะมีถนนนากามิเสะที่เป็นถนนยาวเข้าสู่พื้นที่ภายในวัดที่จะเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย (ที่มา: http://www.talonjapan.com/sensoji-temple/)




มาถึงตอนเช้าเกิน แถมฝนตกอีกต่างหาก ก็เลยไม่ค่อยมีคน เดินตัวปลิวเข้ามาก็จะเจอกับโคมแดงอันใหญ่เบ้อเร้อ (ถ้าประเทศไทยก็จะเป็น พาซิโอ้ กาญจนาภิเษก นะฮะ)


เดินต่อเข้าไปอีก ก็จะเจอกับกระถางธูปยักษ์ และบ่อน้ำเทวรูปที่ให้ใช้ล้างหน้า ชำระส่วนต่างๆ ของร่างกาย



มีคนกล่าวไว้ว่า กิจกรรมเพื่อเสริมความเป็นศิริมงคลแก่นักท่องเที่ยว ได้แก่...


1. การเสี่ยงเซียมซี (Omikuji)
2. การสักการะเทพเจ้าคันนนด้วยการจุดธูปปักลงบนกระถางธูปตรงลานกลางวัด แล้วกวักเอาควันธูปเข้าหาตัว 3 ครั้ง เพื่อนำสิ่งที่ดีเข้าตัว
3. การโยนเหรียญ 5 เยนลงไปในกล่องที่เรียกว่า Saisen-bako จากนั้นตบมือ 2 ครั้งและอธิษฐานขอพร
4. การตักน้ำในบ่อน้ำใต้เทวรูปเพื่อนำมาใช้ล้างหน้าหรือชำระส่วนต่างๆของร่างกาย 
และท้ายที่สุดนักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด คือการเข้าไปขอพรพระโพธิสัตว์คันนนยังด้านในวัดแห่งนี้ 

(ที่มา: http://en.japantravel.com)

ซึ่งเราทำข้อ
2. ไปนิดนึง คือ กวักควันธูปของคนอื่น เข้าตัวมาจึ๊กนึง (ครบ 3 ครั้งไม๊ก็ไม่รู้)
3. จำไม่ได้ว่าโยนเหรียญอะไรลงไป แต่น่าจะตบมือถูก เพราะเลียนแบบคนอื่นเอา เอ๊ะ ตอนนั้นได้ขอพรอะไรหรือเปล่านะ - -"
4. อันนี้ทำครบอยู่! 


จากนั้นก็ไปเดินเร็วๆ รอบวัดดูบรรยากาศว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งมันดีมาก เขียวชอุ่ม (อาจจะเป็นเพราะฝนตกด้วย) มีศาลเจ้า แล้วก็มีป้ายไม้ที่ให้เขียนคำอธิษฐานห้อยไว้




ห้องน้ำวัดเดินออกไปไกลหน่อย ไม่ได้สะดวกสบายมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ มีความสะอาดอยู่เบาๆ

พอใกล้ถึงเวลารวมตัว ก็รีบเดินจ้ำออกไปยังจุดนัดหมาย ซึ่งขากลับเนี่ย ร้านค้าเริ่มเปิดแล้ว ผู้คนก็แห่กันมาจากไหนก็ไม่รู้ เบียดไปอีก รู้สึกโชคดีมากที่มาแต่เช้า (แม้ฝนจะตกก็เถอะ)


จากนั้นเราก็ลงรถไฟไปต่อ การมี Google Maps เป็นอะไรที่ทำให้เราไม่กลัวหลงทางเลย


พอออกจากรถไฟมาปุ๊บ ด้วยความที่ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ก็ขอรองท้องด้วย เบเกิลช็อกโกแลตซะหน่อย (ควรมีแซลมอนครีมชีสนะ มันสากคอ -..-)


พอโผล่ขึ้นมาบนพื้นดิน เดินเลาะมาตามทาง ก็จะเจอกับต้นไม้ใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนสีพอดี โฮ ดีใจ T_T


มาถึงแล้วนะ ความชุ่มชื้นที่อยู่ท่ามกลางตัวเมืองแห่งความวุ่นวาย ตั้งอยู่ในเขต Shibuya “Meiji Shrine” นั่นเองงงงงงงง

ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu / Meiji Shrine) นั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์อุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji) และพระจักรพรรดินีโซเค (Empress Shoken) ภายหลังจากที่ทั้งสองพระองค์นั้นสวรรคต ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1920 โดยการร่วมมือของประชาชนทั่วญี่ปุ่นที่ช่วยกันบริจาคต้นไม้กว่า 100,000 ต้น เพื่อสร้างป่าแห่งนี้ขึ้น ศาลเจ้าเมจินั้นเป็นศาสนสถานในศาสนาชินโตอันเป็นศาสนาเก่าแก่และดั้งเดิมของญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นศาลเจ้าแห่งนี้ถูกทำลายอย่างหนัก ศาลเจ้าปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ราวปี ค.ศ.1958 ด้วยงบประมาณที่เกิดจากการระดมทุนสาธารณะอีกครั้ง

(ที่มา: http://roojingjapan.com/เยือนศาลเจ้าเมจิ-meiji-jingu-วัดที่คนโตเกียวเคารพนับถือและมาขอพรช่/)



ประตูไม้ Torii ขนาดใหญ่ยักษ์ถือได้ว่าเป็น Landmark ที่ทำให้เราได้รู้ว่า มาถึงเขตศักดิ์สิทธิ์แล้วนะ (เอาไว้ป้องกันความชั่วร้ายด้วยป่าวหว่า?) 



แล้วเราก็เดินผ่านป่าต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม อากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย (จนแอบนึกว่าไม่ได้อยู่ในโตเกียว) เดินเข้าไปเรื่อยๆ กลางทางเราจะได้เจอกับ กำแพงถังสาเก กับ กำแพงถังไวน์ (ถูกใช้เป็น BG ในการถ่ายรูปได้เป็นอย่างดี)



ก่อนจะถึงตัวศาลเจ้าก็จะพบกับประตูไม้ Torii อีกประตูนึง



มาช่วงนี้ดีอย่างตรงที่เค้ามีประกวดดอกไม้ด้วย (น่าจะเรียกว่าดอกเบญจมาศนะ) #สายดอกไม้แบบเราก็เพลินไปเลย



บอนไซก็มี จัดสวนจิ๋วก็ Cute มากๆ


เดินต่อเข้าไปอีกหน่อย ก็จะเจอบ่อน้ำที่ให้เราทำความสะอาดร่างกาย ล้างมือ บ้วนปาก ก่อนที่จะเข้าไปในวัดหรือศาลเจ้า ชอบบ่อน้ำที่นี่มาก ชอบมากกว่าที่วัดอาซากุสะอีก


เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ไปเข้าศาลเจ้ากัน เป็นความโชคดีมากๆ ที่มาถึงแล้วเจอกับขบวนแต่งงานพอดี ถึงแม้ฝนปรอย พื้นเปียกก็ตาม



เด็กชาย เด็กหญิงในชุดกิโมโนน่ารักมาก (ก ล้านตัว) อยากจะเอากลับบ้าน



ระหว่างนั้นก็เดินชมรอบๆ ศาลเจ้าไปด้วย มีแผ่นป้ายให้เขียนคำอธิษฐาน ซึ่งป้ายที่เขียนภาษาไทยก็เห็นเยอะอยู่



มีส่วนของพิธีแต่งงานด้านในสุด (คนนอกห้ามเข้า) แอบไปยืนดู อยากรู้ว่าทำอะไรกัน


แล้วก็ได้เจอคู่แต่งงานอีกคู่นึง! สงสัยวันนี้จะเป็นวันดี :)


ชอบบรรยากาศของศาลเจ้านี้มาก ต้นไม้รายล้อมเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็เจอสีเขียว



หลังจากนั่งพักเหนื่อย กินน้ำ กินเกลือแร่เติมพลังแล้ว ตอนที่เดินออกมาก็ได้เจอกับรถที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวใช้นั่งไป (ไหนก็ไม่รู้) ด้วย เจ้าสาวน่ารักไปอีกกกกก


ชอบความประยุกต์ของกิโมโนและรองเท้าผ้าใบสีสันสดใสของเด็กผู้ชาย (น่ารักหง่า >w<)


ขนาดใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาก็มีคุณลุงคอยกวาดให้เป็นกอง ซึ่งแต่ละกองก็อยู่ในระนาบเดียวกัน เป็นบ้านเมืองที่มีความเป็นระเบียบจริงๆ


แล้วเราก็กลับออกมายังโลกปัจจุบัน (แกหลุดเข้าไปในอดีตตอนไหนไม่ทราบ?) ตรงสะพานมีคนมาโชว์มายากลด้วยแหละ 


ส่วนอันนี้เป็นมุมที่มองจากสะพานลงไป จะมีอะไรที่ดีไปกว่า "แดดออก ฟ้าใส" ถ่ายรูปแล้วออกมาสวยงาม


ระหว่างทางเราได้เจอกับต้นไม้ที่เปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ซึ่งทั้งถนนเห็นอยู่ต้นเดียว -*- นอกนั้นยังเป็นสีเขียวอยู่เลย


แล้วเราก็เดินทางมาถึงถนนสุดฮิปของเหล่าวัยรุ่น Takeshita Street มองตรงจอดีๆ จะเห็นเราด้วยนะ


เดินเข้ามาไม่ทันไร ก็เจอร้านให้ Shopping กันไปรัวๆ


มาถึงที่แล้วก็ต้องไม่พลาดลอง "เครป" กันด้วยนะ มีหลายร้านมาก มีร้านเก่าชื่อดังที่คนเยอะมากอยู่ค่อนมากลางซอย ซึ่งเราเดินมาเจอทีหลังไง จะลองอีกก็ไม่ไหวแล้ว อันเดียวจุก จอดจ้า ครึ่งอันแรกก็อร่อยนะ ครึ่งหลังนี่เลี่ยนไปอีก จะทิ้งก็เสียดาย ยัดมันเข้าไปค่ะ



ถนนนี้มีของหลากหลายมาก เครป ซอฟท์ครีม ของกิน เสื้อผ้า สารพัดของวัยรุ่น อารมณ์เหมือนสำเพ็งประตูน้ำ แต่คนที่มาเดินเป็นเด็กสยาม (ช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นไม๊นะ?) คนเยอะมากยังกับเทศกาลคนไหล รู้สึกไม่ใช่ที่ของเราเลย -_- พอหลุดออกมาจากถนนนั้น ก็ข้ามถนนมาอีกฝั่ง เจองาน event แข่งเล่นเกมเตะบอลในจอ แต่ตัวนั่งอยู่บนสนามหญ้า เป็นอะไรที่จริงจังมาก 


เดินตามถนนมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับ Line Store ที่มีพี่หมีบราวน์ยักษ์นั่งรอต้อนรับอยู่


ลงไปที่ชั้นใต้ดิน (B1) ก็จะเจอห้องของบราวน์ด้วย ของที่นี่น่ารักมาก (ก็ของ Line นั่นแหละ) แล้วก็ราคาสูงมากเช่นกัน (กัดฟันไว้ ไม่ซื้อนะคะ ไม่ซื้อ)


เดินต่อมาเรื่อยๆ เกือบถึงทางแยก ก็แวะโฉบเข้าไปในห้างๆ นึง เพื่อหาห้องน้ำ ซึ่งพอไปถึงห้องน้ำ คิวก็ยาวเหยียด แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ยอมรอเถอะ ไม่รู้จะไปหาที่เข้าที่ไหนอีก


พอทำธุระเสร็จเรียบร้อยก็เดินมาอีก(ไกลพอตัว) ข้ามสะพานลอย แล้วก็ได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีอีกแล้ววว (ดีใจ)


มาเจอกับ Kiddy Land กันหน่อย!

โอ๊ยยย นี่มันร้านละลายทรัพย์ชัดๆ T_T ร้านจะแบ่งเป็นชั้นๆ ตาม Character ซึ่งของแต่ละอย่างนั้น..."น่ารักมาก" (แน่นอนว่าราคาก็ไม่เบาเช่นกัน)


ด้วยความที่เวลามีน้อยแต่อยากดูให้ครบ ก็เลยวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดรัวๆ (ทางร้านมีลิฟท์นะ แต่ไม่เหมาะกับคนที่อยากดูทุกชั้นแบบเรา)



เราซื้อทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ได้ (เนื่องจากจน -..-) ก็เลยหยิบชิ้นเล็กๆ มาเป็นที่ระลึก แล้วเราทั้งสาม (มีส้มโอ กับพี่แพะ) ก็รีบวิ่งขึ้นรถไฟ เพื่อจะไปชม Tokyo Imperial Palace 



มาถึงที่หมายตอน 4 โมงเย็น เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูบอกว่า "ปิดตอนบ่ายสามครึ่ง" สามครึ่ง ครึ่ง ครึ่ง...ทำเสียงแอคโค่ (Google maps บอกปิด 5 โมงเย็น) เจ็บปวดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว TT____TT 


เลยได้แต่เดินอยู่ด้านนอก ดูพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน โดยที่เราไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ โฮฮฮฮฮฮ


เดินเลาะน้ำ เลาะถนนด้วยหัวใจที่บอบช้ำมาเรื่อยๆ ก็ได้เจอกับ ถนนใหญ่ตรงกลาง ที่เอาไว้ให้คนเดินโดยเฉพาะ ต้นไม้กำลังเปลี่ยนสีเป็นเหลืองและแดง


ในขณะที่แผนการเที่ยวของวันนี้พังไปสอง (ต้นแปะก๊วยก็ไม่ได้ไปดู เพราะเลือกมาที่นี่) การได้มาเจอถนนนี้ ถือเป็นการดามหัวใจได้ระดับหนึ่ง


เจอรถบัสวิ่งผ่าน ลายน่ารักไปอีก


หาห้องน้ำอีกแล้วจ้า คราวนี้เดินเข้าไปในตึกนึงแถวๆ ถนนเนี่ยแหละ เราชอบถังขยะที่นี่มากเลย ไม่ว่าจะที่ไหนก็มีการแยกขยะ ต่อให้อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกก็เดาได้ว่าหมายถึงขยะประเภทไหน


เดินมาอีกเรื่อยๆ ท้องฟ้าเริ่มมืดละ ก็มาเจอกับสถานีรถไฟใหญ่ๆ ซึ่งเป็นสถานีรถไฟแบบ JR (เราไม่มีตั๋วยี่ห้อนี้)


ก็เลยต้องเดินต่อไปอีก เพื่อหารถไฟที่เรามีตั๋ว ซึ่งมันก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่นะ (เหรอ...)


ระหว่างทางการเปลี่ยนสายรถไฟ ต่อไปต่อมา ในสถานีนึงเราก็ได้เจอกับตู้ไอติม! ไม่รอช้ากดเล่นในทันที


กดมาแล้วก็ต้องกินให้หมดหน้าตู้ด้วยนะ ไม่งั้นจะไม่มีที่ทิ้งขยะ งับ งับ งับ


สิ่งที่เห็นจนชินตาสำหรับที่นี่คือตู้กดน้ำ มีอยู่ทุกที่แม้กระทั่งในซอยเปลี่ยว


แล้วเราก็มาโผล่ที่ห้าแยกชิบูย่า!!! คนเยอะมาก วุ่นวายไปอีก (อนุสาวรีย์น้องหมาฮาจิโกะ ผู้ซื่อสัตย์ก็อยู่ที่นี่นะ) ความสนุกของที่นี่คงเป็นการเดินข้ามแยก จำนวนคนมหาศาลที่มาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วมาข้ามถนนพร้อมๆ กันใน 5 ทิศทาง ต้องหลบหลีกคนอื่นระหว่างที่ตัวเองเดินไปด้วย น่าแปลกที่เราเองก็ไม่ได้ชนใคร ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีเรดาห์ป้องกันการชนติดอยู่


ก่อนที่จะถึงเวลานัดหมายกินข้าวเย็น (ซึ่งเหลือไม่ถึงชั่วโมง) ..."วิ่ง" ออกไปสำรวจกันดีกว่า


แวะเข้าไปดู Disney Store ซะหน่อย ของน่ารักอีกแล้วววว แต่ด้วยความที่เคยไป Hong Kong Disneyland มาแล้ว ที่นี่ก็เลยไม่มีพลังทำลายล้างเราเท่าไหร่


แต่ที่โดนไปคือ Muji ค่ะ เป็นของเค้าทั้งตึกเลยอะ มันใหญ่มาก ของถูกกว่าที่ไทย มี Cafe ด้วยนะ


แล้วก็ได้เวลาหาร้านอาหารเย็น (เรียกว่าอาหารดึกน่าจะเหมาะกว่า) คือตอนแรกเนี่ยกะจะไปกินด้วยกันหลายคน แต่พอมันแยกกันแล้ว มันก็หาทางกลับมารวมตัวกันยากล่ะนะ เลยเหลือแค่ เรา ส้มโอ พี่แพะ เดินหาร้านอาหารกัน ซึ่งตั้งใจว่าต้องเป็น"เนื้อย่าง" มื้อสุดท้ายทั้งที ต้องเอาให้สุด!

เปิดเว็บดูหลายร้าน พอเลือกมาร้านนึง ก็เปิด navigation เดินตาม Google maps ไป แล้วก็พบว่า หาร้านนั้นไม่เจอ! เป็นแบบนี้อยู่ประมาณ​ 4 รอบ แถมยังมีการพาเดินเข้าไปตรอกที่มีร้านอย่างว่า (18+) อีกต่างหาก นี่ก็ก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำรัวๆ หิวก็หิว เมื่อยก็เมื่อย สุดท้ายมาเจอป้ายร้านนึงในตรอกเล็กๆ เลยตัดสินใจปีนบันไดขึ้นชั้นบนกัน เป็นร้านที่ super หัวเหม็น ควันปิ้งย่างเต็มร่าง ลูกค้าในร้านส่วนมากเป็นคนพื้นที่เพศชาย


โชคดีที่มีพนักงานฟังภาษาอังกฤษออก พูดได้บ้าง ดูท่าน่าจะเป็นกัปตัน (ที่เหลือพูดไม่ค่อยได้ ฟังได้นิดนึง) มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษให้ดู แต่ก็แค่คอร์สอาหาร ส่วนเครื่องดื่มญี่ปุ่นล้วน เลยทำให้รู้จักคำว่า "umeshu (梅 酒) เหล้าบ๊วย" เพราะน้องเบลอยาก 55+ (ส้มโอส่ง location ไปให้น้องเบลตามมาสมทบ)


คอร์สที่เราเลือก ราคา 4800 yen เป็นบุฟเฟต์ 90 นาที แค่ "วากิว" ก็คุ้มแล้ว ละลายในปากไปเลย วาซาบิขูดสดๆ ก็ดีงามมาก แต่คนที่คุ้มสุดน่าจะเป็นพี่แพะ กินเครื่องดื่มแทบจะทุกประเภท (ตอนจบพี่แพะมีความเมา)


 เนื่องจากไม่รู้ชื่อร้าน เอา location แปะแทนแล้วกันนะ : 35.659683, 139.697754


ในขณะที่โต๊ะอื่นเค้ากินเนื้อน้อยๆ จิบแอลฯ ไปพลางๆ แล้วก็พูดคุยกัน พวกเราก็กินกันเยอะมาก เกินคุ้มแน่นอน การพูดคุยกันคืออะไร ไม่รู้จักค่ะ นาทีนี้ต้องกินรัวๆ เท่านั้น :P

พอออกมาจากร้านคือ "เหม็น" ไปทั้งตัว!


เริ่มดึกแล้ว คนก็ทยอยกลับกันไปบ้าง แต่ก็ยังครึกครื้นมากนะ พอเราเดินผ่านร้านของเล่นที่มีตู้กดกาชาปอง ก็...ขอเล่นซักหน่อย ราคาไม่ได้เท่ากันทุกตู้ ขึ้นกับ ​Character ของตู้นั้นๆ

ไปยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าตู้ พยายามมองคนที่เข้ามาเล่นว่ามันต้องทำยังไง สุดท้ายก็ถอดใจ ถามเค้าไปเลยง่ายกว่า เป็นคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้ ตอนแรกเค้าดูตกใจที่อยู่ๆ ก็มีคนเข้าไปทัก (เราไม่ได้มาไถตังค์เค้าซะหน่อย โธ่) แต่พอเราถามว่าเล่นยังไง เค้าก็เลยสาธิตวิธีเล่นให้ดู


แล้วก็ได้แก๊งซุมิกโกะกลับบ้านมาตัวนึง :3


แล้วเราก็ไปรวมพลกันอีกครั้งตรงแถวอนุสาวรีย์น้องหมาเพื่อกลับที่พัก จะเที่ยงคืนอยู่แล้วววว รถไฟจะหมดก่อนไม๊เนี่ย -_-

สุดท้ายเราก็กลับมาถึงที่พักได้อย่างปลอดภัยแบบข้ามวัน นี่ถ้าจะออกไปเที่ยวแต่เช้าแล้วกลับข้ามวันแบบนี้ เค้าเรียกใจแตกหรือเปล่านะ >//< (ความเป็นยอดมนุษย์จะเกิดขึ้นตอนเที่ยวเท่านั้น)

...

ออกจากบ้านพักด้วยรถบัส (เช่าเหมาคัน ตกคนละประมาณ 1,200 บาท) ตอนตี 5 กว่าๆ หลังจากที่นอนหลับไปไม่ถึง 3 ชั่วโมง เพราะมัวแต่แพ็คกระเป๋า หรือเรียกว่ายัดน่าจะดีกว่า (นี่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรเยอะนะ)


หกโมงนิดๆ พวกเราก็มาถึงสนามบิน ทางโชเฟอร์เอากระเป๋าใหญ่ลงให้ก่อน แล้วก็ถอยรถไปที่จุดที่ให้คนลง (เป็นระเบียบเรียบร้อยจนนาทีสุดท้ายที่เราได้อยู่บนแผ่นดินนี้)

เช็คอินที่เคาน์เตอร์ airasia x เสร็จก็จะผ่าน ตม. เข้าไปด้านใน ปรากฏว่าเปิด 7 โมงครึ่ง นั่งรอไปแบบ ง่วงๆ มึนๆ จ้า zzZzZ


แวะไปเข้าห้องน้ำสนามบินซะหน่อย มีป้ายแปะอยู่ที่ประตูห้องน้ำ อ่านไม่ออกเลยนะ แต่เข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไร 


ลองกด Flushing sound เล่น เราว่าเสียงมันตลกอะ มันไม่ real ฟังก็รู้ว่ากดเพื่อกลบเสียงบางอย่าง 55+


ตู้อันนี้อยู่แถวๆ ก่อนเข้า ตม. เราว่าเค้าสื่อสารได้ชัดดีว่าของประเภทไหนถือเป็น Liquids บ้าง


การแยกขยะมีอยู่ทุกที่จริงๆ


พอ ตม. เปิด ก็เดินผ่านตัวปลิวเข้ามาเลย สัมภาระเรามีนิดเดียวเอง อย่างถุง ABC นี่ก็ไม่ใช่รองเท้านะ ใส่หมอนรองคอมา 55+


แล้วก็ได้เวลา boarding 8.35 am คนเยอะ แต่ก็บริหารจัดการได้เร็วดี จากนั้นก็ depart ตอน 9.15 am 


ญี่ปุ่น...เรากลับก่อนนะ 
ถึงแม้ว่ามันออกจะเร็วไปหน่อย แค่สองวันนิดๆ แต่เราก็รักเธอไปแล้ว
เราจะมาหาใหม่ เราสัญญา :)


ขากลับ อาหารที่สั่งเป็นเนื้อฮะ อันนี้ผ่าน! 


~ ~ ~ บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้ ~ ~ ~
ปุยเมฆสวยดี ถ้าลงไปนอนได้ก็คงจะดีเนอะ #โดดลงไปสิ ตายแน่นอน


ขอขอบคุณ

  • Redlab สำหรับค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก
  • พี่โน้ต แม่งานที่ช่วยติดต่ออะไรหลายอย่าง เตรียมเอกสารที่จำเป็นให้ทุกคน แถมบิ้วท์ให้พวกเราทำแพลนมา present รัวๆ
  • ผู้ร่วมเดินทาง ที่ทำให้ทริปนี้เป็นทริปที่น่าจดจำ (ขนาดผ่านมาจะครึ่งปีแล้ว ยังจำได้อยู่เลย) โดยเฉพาะ "ส้มโอ" ที่ตัวติดกันไปแทบจะทุกที่
  • พี่ไก่ mInter ที่ช่วยทำ route การเดินทางให้ ขอบคุณที่ช่วยตัดสถานที่ๆ เราอยากไป​ (เยอะมาก) ออก แล้วเลือกสิ่งที่เป็นไปได้มาให้ ถ้าไม่ได้พี่ ด้วยเวลาเที่ยวที่จำกัด คงไม่ได้ไปหลายที่ขนาดนี้  
  • ตัวเอง ที่อดหลับอดนอน ตากแดด ลม ฝน แล้วไม่ป่วย (กลับมาถึง กทม. แล้วร่างพัง ก็ถือว่าดี)
...

ถ้าบ้านเมืองเราเป็นระเบียบเรียบร้อย มีวินัย มีความตรงต่อเวลา มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม รู้จักแยกขยะกันอย่างจริงจัง ก็คงจะดีนะ :)

กล้องที่เราใช้: Fuji XA2, GoPro, Nexus5
กล้องที่คนอื่นใช้: หลักๆ ก็มีไอโฟน ส่วนที่เหลือก็ไม่รู้แล้วล่ะ ขอบคุณที่ให้ขโมยรูปจาก Line มา ณ ที่นี้
แต่งภาพ: Photoscape กด 1 จึ้ก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์ตรงกับการโดน Facebook บังคับเปลี่ยนชื่อ ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "รอ"

สองชั่วโมง สองที่เที่ยว ด้วย เรือหางยาว เจ้าพระยา

น้องนีโม่ กับ โรคฉี่หอม