บันทึกการเดินทาง: Tokyo 1st time การตกหลุมรัก มันเป็นแบบนี้นี่เอง (Part1)

คำเตือน: Blog นี้ภาพเยอะมาก กรุณาเชื่อมต่อ Wifi 

ลังเลว่าจะเขียน หรือไม่เขียนดี ไม่ได้เขียนเรื่องเที่ยวมานานมากแล้ว แล้วการเขียนของเรามันเหมือนคนอื่นซะที่ไหนล่ะ สุดท้ายก็รวบรวมพลัง เขียนก็เขียน! แต่ถ้าไม่มีรูปประกอบก็ไม่ได้อีก ไปขุดรูปจาก ext. HDD แล้วเลือกมา... 10% ของภาพถ่ายทั้งหมด (แกจะถ่ายอะไรเยอะแยะฮะ!?) เริ่มเลยแล้วกัน

ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ ที่มีสปอนเซอร์ใจดีในส่วนของค่าตั๋วเครื่องบินและที่พัก คือ "Redlab" นั่นเอง ง ง ง ง 
จัดขึ้นเมื่อ 13-16 Nov 2015 มีเวลาเที่ยว 2 วันเต็ม นี่ก็ไปมาจะครึ่งปีและ มาดูกันว่าจะจำรายละเอียดอะไรได้บ้าง

เริ่มต้นกันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง นัดเจอกันแต่เช้าตรู่ตรงที่ Check in แต่ไปๆ มาๆ ก็สลายตัว เข้ามาเจอกันใน Gate ดีกว่า ปลอดภัยกว่าเย๊อะ ซึ่งพอเข้ามาแล้วก็มีเวลาให้ง่วงนอนอยู่นานพอตัว อย่างต่ำก็ 2 ชั่วโมงอ่ะ เดินวนไปค่ะ! น้ำเปล่าในสนามบินนี่มันแพงชะมัด บุ่ยยย

เมื่อทุกคนมากันครบก็ได้ฤกษ์แชะภาพเป็นที่ระลึก 


พอประตูเข้า Gate เปิด ก็เดินดุ๊กดิ๊กกันลงไป คนเยอะมากจนเก้าอี้นั่งรอไม่พอ นั่งพื้นไปค่ะ


แล้วก็ได้เวลา Boarding Time ท้ายลำไปเล้ยยยยย


เพิ่งรู้ว่า AirAsia X เบาะแข็งขน๊าดดดด ไม่มีอุปกรณ์เสริมความสบายอะไรทั้งนั้น ดีนะที่เราแบกหมอนรองคอมาเอง (สายนอนต้องเตรียมพร้อมเสมอ) เอาหนังสือขึ้นไปอ่านด้วยนะ แต่ก็ไม่ได้อ่าน (แบกมาทำไมให้หนัก) เวลาที่อยู่บนเครื่องก็ไม่มีอะไรมาก นอน กิน ถ่ายรูป ห้องน้ำ นอน ถ่ายรูป พอ!!!

สำหรับอาหารที่เราสั่งมาล่วงหน้านั้นคือ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง น้ำจิ้มแจ่ว (อ่านรีวิวจากพันทิพแล้วมีคนบอกว่าดี) เปิดมา หน้าตาโอเคอยู่นะ


แต่สุดท้ายกินได้แค่ไก่กับผัก ข้าวเหนียวร่วนไปอี๊กกกกก นี่ข้าวเหนียวหรือข้าวสาร พูด! นอยด์ นอยด์มากๆ


คิดแล้วก็ยังจำลักษณะที่สัมผัสลิ้นได้อยู่เลย หึยย โมโห!

การเดินทางนานๆ มันทำให้เราปวดเมื่อยได้ จึงต้องยืดเส้นยืดสายด้วยการกระโดดไปที่นั่งของพี่ๆ ที่อยู่ริมหน้าต่าง แล้วถ่ายรูปเล่นซะหน่อย (เรานั่งกลางเครื่องเลย)


ขณะที่ใกล้จะถึงที่หมาย ที่นั่งมาตลอด 6 ชั่วโมง ก็ต้อง GroupFie กันหน่อยค่า
ขอบคุณพี่ฮาวสำหรับการเป็นขาตั้งกล้อง (แต่ลั่นชัตเตอร์โดยเราเอง อิ ^_^)


แล้วเราก็ landing เมือง Japan โดยสวัสดิภาพ พร้อมกับสภาพร่างที่ง่วงไปอีก เราชอบการผ่าน ตม. ที่นี่มาก มีที่ๆ ให้เราสามารถเอากระเป๋าวางได้ขณะยืนรอเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสาร หน้าจอคอมที่ให้เราถ่ายภาพก็มี subtitle เป็นภาษาไทยขึ้นให้ด้วย เจ้าหน้าที่ทำงานกันรวดเร็วมาก ประทับใจตั้งแต่มาเหยียบแผ่นดินเลย โฮฮฮฮ T_T

หลังจากที่รับปลาเก๋า (กระเป๋า) ผ่านสายพานกันเรียบร้อย ก็ต้องผ่านเจ้าหน้าที่อีกชั้นนึง ถ้าเป็นบุคคลต้องสงสัยก็จะโดนสั่งให้เปิดกระเป๋าให้ดูงี้ ซึ่งเราก็ผ่านมาได้ฉิวๆ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ๆ ขายบัตรรถไฟ ต่อให้อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเลย ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยากว่าควรต้องซื้อแพคเกจไหน ซึ่งเราซื้อรถไฟเข้าเมือง Skyliner 1 เที่ยว จาก Narita Airport มุ่งหน้าไปยัง Ueno แล้วก็โตเกียวเมโทร 3 วัน (ไม่ใช่ JR นะ) จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็บอกให้ลงไปรอที่ชานชาลาได้เลย ถ้าเลทกว่าเวลาที่ระบุไว้ในตั๋วที่เราซื้อมาเนี่ย ใช้ไม่ได้แล้วนะคะ (คุยกันเป็นภาษาอังกฤษนะฮะ) โอเคค่ะ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ!

ตั๋วรถไฟเข้าเมืองเป็นกระดาษ ที่พอผ่านประตูปุ๊บ ก็จะเจาะรูให้ปั๊บ เราลงไปรอที่ชานชาลา 1 สักพัก เปิด maps ดูนู่นนี่ รถไฟก็มา อ้าวตาย ตั๋วที่เราซื้อไม่ได้ขึ้นตู้ที่เทียบกับชานชาลานี้ (Car 1-3) วิ่งดิเอ๋วิ่ง! จากตู้เกือบสุดท้าย วิ่งไปตู้เกือบหน้าสุด (Car 8) #ขบวนยาวไปอีก...จะเป็นลม พอก้าวขาเข้าประตูรถไฟไปได้ไม่ถึง 3 นาที ประตูรถไฟก็ปิดฉับ! ตรงเวลาดีมากอ่ะ รักเลย


เนื่องจากขึ้น Car แปลกกว่าชาวบ้าน เลยต้อง Line หาชาวแก๊งกันรัวๆ ว่าขึ้นรถไฟกันทันทุกคนใช่ม๊าย (ถ้ามีใครไม่ทันคงสยองพิลึก) การมี pocket wifi ช่วยชีวิตเราได้มาก

ขอแนะนำให้ทุกคนที่ไปเที่ยว JP มีอินเตอร์เน็ตติดตัวท่านค่ะ


ชอบประเทศนี้ตรงที่มีข้อมูลขึ้น Google maps ละเอียดมาก ซึ่งเราใช้มันเป็นประจำมากกว่า Application Tokyo subway ที่โหลดมาเล่นอีก

ทีนี้รู้หรือยังว่าถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ตจะเป็นยังไง!? #หลงไงคะถามได้


ตลอดการเดินทาง รถเค้าเงียบมากๆ (ให้ความรู้สึกเหมือน Airport rail link ประเทศเราแหละ) ทีวีมีภาพแต่ไม่มีเสียงโฆษณา มีการ communicate ตลอดทางว่าถึงไหนแล้ว มีน้ำขายที่ตู้ไหน พยาบาลอยู่ตู้ไหน ห้องน้ำอยู่ตู้ไหน พอใกล้ถึงสถานี (เช่น Nippori) ก็มีเสียงพูดออกมาทีนึง

ตอนแรกรถไฟก็วิ่งอยู่ในอุโมงค์ พอจะเข้าเมืองก็มาโผล่บนฟ้า ด้วยความสูงระดับตึก 3 ชั้นเลยล่ะ รถเงียบมาก นั่งสบายมาก ถ้าเผลอหลับคิดว่ายาวไปจนถึงปลายทางแน่ๆ


เมื่อมาถึงสถานี Ueno ก็ได้เวลาย้ายตัวไป Tokyo Subway แล้วจ้า บัตรนี้ห้ามหายตลอด 3 วันเลยนะ ไม่งั้นเงิบแน่ๆ


การเดินทางด้วยรถไฟ ถามว่า "งงไม๊" ก็ "งงอยู่" เพราะว่าเค้ามีรถไฟหลายสายมากกกก ผู้คนก็พลุกพล่าน แต่ถ้าดูแผนที่เป็น ดูสัญลักษณ์เป็น ใจเย็นหน่อย มันก็ไม่ยากเท่าไหร่นะ

มาถึงที่หมาย เราก็แบกกระเป๋าที่มีความหนักขึ้นบันไดรัวๆ กันที่สถานี Ningyōchō Station จากหนาวๆ กลายเป็นเหงื่อแตกไปเลยค่ะ! #จิเป็นลม


เดินด๊อกแด๊กหาที่พักของเรา เจอแล้วววววว


ที่พักของเราเป็น Airbnb นะฮร้าาาา Cool ไปอีก! ที่นอนนุ่มสบายดี (อยากได้ผ้าห่มกลับบ้านมาก) คนดูแลก็ดี ข้าวของที่ให้ใช้ก็ดี เสียอย่างเดียว ห้องน้ำน้อยไปหน่อย T T


เวลามีน้อยใช้สอยอย่างประหยัดค่ะ ไปดูไฟกันเถอะ!

ดูที่ไหนก็ไม่รู้หรอก Search เอา แล้วคิดว่ามันดูได้ แล้วก็ไปเลย (ฮา) พอถึงปลายทางแล้วก็ยังเดินวนอยู่ตั้งนานกว่าจะหาเจอ ฝนก็ลงเม็ดปรอยๆ อากาศก็เย็น ถ้าป่วยจะไม่แปลกใจเล้ยยยยย



ที่สถานที่นี้ เราได้เจอกลุ่มคุณอาชายหญิงชาว office กลุ่มหนึ่งที่มาขอให้พี่ขวัญช่วยถ่ายภาพหมู่พวกเค้าให้ พอเราถ่ายให้เค้าแล้ว เค้าก็ขอถ่ายให้พวกเรากลับคืนด้วย น่ารักดี :)


แล้วเราก็เดินมาถึงจุด Highlight ของสวน เป็นการโชว์ไฟที่ดีมาก




พอนาฬิกาบอกเวลา 23.00 น. ปุ๊บ ไฟที่เคยสว่างไสวก็ดับปั๊บ! ประหยัดไฟดีจัง ซึ่ง ณ เวลานี้ยังไม่มีของอะไรตกถึงท้องนะฮะ เดินเข้า Supermarket ในตึกที่อยู่ใกล้ๆ สวน ก็ตื่นตาตื่นใจไปอีก ของเยอะมาก อ่านก็ไม่ออก ดูว่าอันไหนเหลือน้อย น่าจะอร่อย ก็หยิบอันนั้นมา (ฮา)


ด้วยความที่กลัวจะไม่มีรถไฟกลับที่พัก ก็เลยตัดสินใจกันว่ากลับมาหาอะไรกินแถวที่พักดีกว่า 

23.31 น. แล้ว คนยังเดินกันขวักไขว่อยู่เลย


กลับมาแถวที่พัก เข้าไปเดินวนร้านสะดวกซื้อ ได้ของมากินเล่นนิดหน่อย


แถวที่พักมีร้านอาหารไทยด้วยนะ


สุดท้ายก็มาจบลงที่ร้านราเมง ซึ่งตู้กดก็เป็นภาษาญี่ปุ่นนะฮะ ที่เราทำคือ ไปดูอาหาร mockup หน้าร้าน จำหมายเลข แล้วมากดเอา


กดหมายเลข หยอดเงิน ก็จะได้คูปองออกมา เอาคูปองไปยื่นที่เคาเตอร์พ่อครัว รอเค้าทำเสร็จ แล้วเรียกให้เราไปเอา ซึ่งก็เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นอีก ก็เลยต้องใช้ภาษากายช่วย เงี่ยหู สบตาเอา 


แล้วก็ได้ของมากินนะคะ ท๊าดาาาาา เค้าให้เยอะมาก พยายามยัดแล้วก็ไม่สามารถ เหลือเส้นไปเกือบครึ่ง ตอนยกถาดไปคืนนี่รู้สึกผิดมาก ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ แต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ หง่ะ (น้ำเปล่าฟรี บริการตัวเอง)


จากนั้นก็กลับที่พักไปต่อคิวรออาบน้ำ กว่าจะได้นอนหลับจริงๆ ก็น่าจะตีสองได้ แล้วก็ตั้งปลุกตอน 04.40 น. ตั้งใจว่าจะไปดูประมูลปลาที่ตลาดปลาซึกิจิ! คือเราก็ตื่นก่อนทุกคนแล้วนะ แต่ด้วยความที่ขบวนมันใหญ่ กว่าจะได้เคลื่อนก็น่าจะเกือบหกโมง ตลาดปลานี่ก็อยู่ไกลไปอีก ต่อรถหลายสายมาก แต่เราก็มาถึงจนได้


ชอบความเป็นระเบียบของประชากรที่นี่มากๆ


พอขึ้นมาบนถนนแล้ว ก็ต้องเดินอีกนิดหน่อย ผ่านปั๊มน้ำมันที่หน้าตาแปลกดี


แล้วก็มาถึงละจ้าาาาา (เวลาประมาณหกโมงครึ่งนิดๆ) เย้!!!


ถามว่าตลาดสดวายแล้วไม๊ ก็ระดับนึงแหละนะ แต่ก็มีบรรยากาศหลงเหลืออยู่ ยังเดินเล่นซื้อของกิน ซื้อขนมได้เรื่อยๆ



เป็นไข่หวาน ที่หวานมากกกกกก เหมือนทำน้ำตาลหกลงไป (และร้อนมากด้วยเช่นกัน)


เดินวนกันอยู่หลายรอบเพื่อหาร้านปลาดิบกินเป็นอาหารเช้า สุดท้ายก็มาลงเอยร้านที่อยู่ในตรอกเล็กๆ เห็นว่าคนเยอะดี ดู Local ดีด้วย ที่นั่งตรงบาร์ที่เห็นเชฟทำอาหารเต็ม ก็เลยมานั่งในห้องที่แอบไว้ 


อาหารสดดีมาก ไม่คาวเลย ชาเขียวร้อนก็เข้มข้น (เราจะไม่พูดถึงเรื่องราคากันนะฮะ)


จากนั้นก็แยกย้ายไปตามทางของแต่ละคน (แยกกันเที่ยวตามความพอใจ) ซึ่งแก๊งเรา 4 คน (พี่ขวัญ พี่มาส ส้มโอ เรา) มุ่งหน้าไปยัง Yokohama!


จากที่งงเรื่องแผนที่ ดูบ่อยจนเก่งอ่ะ บอกเลย 555+


เราชอบวิวรางรถไฟนี้มาก เหมือนเป็นวิวคลาสสิคที่ต้องเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นอ่ะ



ต่อรถ เดินขึ้น เดินลง เดินลง เดินขึ้น พอเจอ 7 eleven ในสถานีด้วยความที่หิวน้ำมาก ก็ขอแวะซื้อซะหน่อย เป็นชาที่เลม๊อนเลม่อน ขวดมุ้งมิ้งอีกต่างหาก


เนื่องจากหลุดออกมานอกเขตบริการโตเกียวแล้ว ก็เลยต้องซื้อตั๋วไปสองรอบ กดตั๋วรถไฟ ต่อไปต่อมา เพลินไปเลย

ตอนสายๆ เรามาถึงเมืองท่าเรือ โยโกฮาม่า ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงนิดๆ นะ (ถ้าจำไม่ผิด) ไม่มีแดด แต่มีฝนปรอย (ต้องกางร่มเป็นพักๆ) 







และแน่นอนว่ามันหนาวมาก บรื๋อออออ เราว่าอากาศสดชื่นกว่าโตเกียวนะ เอาล่ะ เดินไปดู Red brick warehouse กันเถอะ



ตึกแดง (Red Brick Warehouse) 
ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454-2456 เพื่อใช้เป็นด่านศุลกากรโกดังเก็บสินค้าของท่าเรือโยโกฮาม่า ปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ อาคารสีแดงที่สร้างจากอิฐสีแดงสองหลัง กลายเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และภัตตาคาร ในบรรยากาศสบายๆ ห่างไกลจากชุมชน ที่นี้จึงกลายเป็นอีกที่พักผ่อนของผู้คนในเมือง



มีคนมาทักเราด้วย จะให้ทำแบบสอบถาม คุยภาษาอังกฤษกันได้นิดนึง เค้าก็ไม่สัมภาษณ์เราละ ขอโทษที่ไม่ใช่คนที่นี่ค่ะ T T

ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองแล้วนะ ดีใจที่ได้เห็น :) 

ปล.​ Cafe ที่นี่น่านั่งมาก




จากนั้นเราก็เดินไปยังจุดหมายที่แท้จริงของการมาโยโกฮาม่า เดินทางเรียบ ต่อให้ไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น แต่พอขึ้นสะพานเท่านั้นแหละ เมื่อยหง่ะ!




มาถึงแล้ววววว จุดหมายปลายทางของเรา Cup Noodle Museum ค่าบัตรเข้าชมคนละ 500 เยน


Museum นี้มีประวัติของ cup noodle มีลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ มีวีดีโอให้ดู (เกือบหลับ เพราะฟังไม่ออก) 


อันที่จริงแล้วจุดประสงค์หลักของการมา Museum นี้คือ การได้ทำถ้วย ได้ปรุงรสของตัวเอง แล้วก็แบกถ้วยกลับบ้าน (คนละ 300 เยน)

การจัดระเบียบเค้าดีมาก ต่อให้คนเยอะ เสียงดังแค่ไหน ก็ไม่วุ่นวาย




พนักงานที่ดูแล พอมาถึงคิวเราปุ๊บก็พ่นญี่ปุ่นใส่เลย เราก็เห้ยยยยย ขอภาษาอังกฤษค่ะ เค้าก็เลยไม่พูดด้วย แต่เปิดป้ายภาษาอังกฤษให้เราอ่านแทน แล้วเค้าก็หนีไปดูแลลูกค้าคนอื่น ฮืออออออ เสียใจ

หลังจากเราได้ถ้วยมาแล้ว เค้าก็จะพาเราไปนั่งโต๊ะ ให้วาดรูปลงถ้วยตามความพอใจ


พอตกแต่งถ้วยเสร็จ ก็จะต้องไปเข้าคิวบรรจุของลงในถ้วย ระหว่างทางที่ต่อแถวอยู่นั้น ห้องใหญ่ๆ ด้านข้างจะเป็น Workshop ปั้นแป้ง ทำเส้นจริงๆ เลย ซึ่งอันนี้เนี่ยต้องจองล่วงหน้าผ่านเว็บมา แล้วตอนที่เราจะเข้าไปจอง มันก็เต็มไปแล้ว อดไปตามระเบียบ


กลับมาที่กรรมวิธีการบรรจุของลงถ้วยกันดีกว่า เริ่มจากเอามือหมุนๆๆ กลิ้งก้อนบะหมี่ลงถ้วย



ใช้ภาษามือจิ้มๆ ในการเลือกส่วนผสม


ปิดฝา แล้วก็ wrap ถ้วยด้วยพลาสติก


ผ่านตู้ความร้อน กลิ้งดุ๊กๆ ออกมา


ไปหยิบถุง เอาถ้วยไว้ตรงกลาง อัดลมเข้าไปให้เป็นบอลลูน


ถ้าวางถูกทาง มันก็จะไม่กลับหัว ไม่เอียง ซึ่งของเราเอียงอย่างไม่ต้องสงสัย


จากนั้นก็ไปหยิบเชือกมาร้อย สะพายเป็นกระเป๋าสวยๆ ก็เป็นอันเสร็จ! (แต่ถ้าจะเอาขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน ก็ต้องเจาะเอาลมออกนะฮะ)


พอทำเสร็จก็ตั้งใจจะไปหาของกินที่อื่น แต่ฝนตกหนักมากกกกกก เลยขึ้นไปที่ศูนย์อาหาร (ที่มีแต่เส้น) ชั้นบน เราซื้อเป็น Set (อาหาร, น้ำ Refill) ราคา 500 เยน ...สวยแต่รูปนะเอาจริง เสียดายตังค์ -*-


อยู่ซะนาน กินเวลาที่วางแผนไว้อีกแล้ว แง๊ T T

พอฝนเริ่มซา ก็เดินกางร่ม ด๊อกแด๊กหาทางกลับไปลงรถไฟ แน่นอนว่าไม่พลาดการใช้ Google maps เพราะหลงทางและหลงทิศมาก



ซึ่งขากลับเนี่ย คนละสถานีกับขามา ที่สถานีนี้มีของมือสองมาวางขายด้วย เกือบเสียตังค์แล้วไม๊ล่า


รู้สึกชอบประตู ก็เลยถ่ายเก็บมา



ได้เวลากลับโตเกียวละจ้า ซื้อตั๋ว!


ขาไปว่าง่วงแล้ว ขากลับง่วงกว่ามาก zzzZzzZ

และเช่นเคย ผู้คนที่นี่เป็นระเบียบมาก ขึ้นบันไดเลื่อนชิดซ้าย ยืนต่อแถวตรงเป๊ะ รถไฟก็ตรงเวลา ข้อมูลดู real time จาก Google Maps ได้เลย (เจ๋งชะมัด) แต่ละ platform มีป้ายเยอะมากคอยบอกทาง ถ้าอ่านเป็นก็ไม่หลงแน่นอน 


รถไฟ speed ดีมาก ในรถก็เงียบสงบ แทบไม่มีเสียงพูดคุยกัน จะคุยกันเองนี่ต้องพูดเบาๆ เกรงใจคนอื่นเค้า ไม่มีเสียงโฆษณามารบกวน เหมาะแก่การนอนมาก (แต่มีกระดาษแปะขายของกันโต้งๆ) 


อยู่ประเทศนี้ไม่ถึงวันก็ตกหลุมรักความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความตรงต่อเวลา ความไฮเทค ความสะอาดของประเทศนี้เข้าให้แล้ว <3 <3 

หลังจากแวะเข้าไปเก็บข้าวของอันพะรุงพะรังที่ที่พัก เหยียดร่างกันแป๊บนึง ก็ออกไป Shopping ข้าวของที่ตึกม่วงกันค่า พอโผล่ออกจากใต้ดิน ถามว่าหลงทิศไม๊ ... หลงแน่นอน แต่สุดท้ายก็คลำทางมาจนได้ มากับสายฝนทั้งปี มันหนาวนะรู้ไม๊


พอมาถึงตึก ก็แยกร่างกระจายตัว Shopping เป็นตึกที่มีของเยอะมาก หลากหลายมาก มีบัวชัวร์ภาษาไทยด้วย คิดดูแล้วกันว่าคนไทยมาที่นี่เยอะขนาดไหน

ถ้าซื้อของมูลค่ารวมเกิน 5401 เยน/บิล จะได้ refund tax 8% สามารถขอที่นี่ได้เลย เค้าก็จะแปะมากับ Passport เรา


เมื่อได้ของแล้ว ก็ต้องหาอาหารเย็น! แต่ก่อนจะไปถึง ดันเจอร้านรองเท้า ABC งี้ อะ ก็เลือกกันไป ซึ่งแน่นอนว่าฝนก็ยังตก เดี๋ยวก็เบา เดี๋ยวก็หนัก เปียกไปครึ่งตัว หนาวได้อีก



สุดท้ายพวกเราก็จับพลัดจับผลูเข้ามาที่ร้านนึง ร้านที่พนักงานไม่พูดภาษาอังกฤษด้วย คนที่พอพูดได้ก็หาตัวยากเหลือเกิน ของที่อยากกินก็หมดอีก ก็เลยชี้ๆ เอาตามเมนูนั่นแหละ (เปลี่ยนตัวสมาชิกแก๊งเป็นพี่แพะ กับน้องแป้ง)





กว่าจะกินเสร็จ หอบข้าวของกลับที่พัก ก็ดึกเอาการ ไม่มีแรงจะไปที่ไหนต่อแล้ว (ถ้าฝนไม่ตกคงจะพอสู้อยู่แหละ) เลยตัดสินใจอาบน้ำ ซุกตัวดีกว่า พรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้าไปวัดล่ะ!

>>> To be cont. >>> 

กล้องที่เราใช้: Fuji XA2, GoPro, Nexus5
กล้องที่คนอื่นใช้: หลักๆ ก็มีไอโฟน ส่วนที่เหลือก็ไม่รู้แล้วล่ะ ขอบคุณที่ให้ขโมยรูปจาก Line มา ณ ที่นี้
แต่งภาพ: Photoscape กด 1 จึ้ก

ความคิดเห็น

  1. เห็นแล้วอยากไปๆๆๆๆๆๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. พี่ก้องไปมาหลายรอบแล้วนะครับ

      ลบ
  2. ทริปเล็กๆ แต่ดูหนุกหนาน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. หนุกหนานทุกเวลาที่ได้ไปเที่ยวฮะ (ฮา)

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์ตรงกับการโดน Facebook บังคับเปลี่ยนชื่อ ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "รอ"

สองชั่วโมง สองที่เที่ยว ด้วย เรือหางยาว เจ้าพระยา

น้องนีโม่ กับ โรคฉี่หอม