กระซิบรักที่เมือง...น่าน (1)

น่าน เมืองสุดปลายฟ้าล้านนาตะวันออก เอาจริงๆ แล้วไม่เคยมีชื่อจังหวัดนี้อยู่ในหัว/แผนการท่องเที่ยวเลยสักนิด ขึ้นเหนือทีไรก็หนีไม่พ้น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แต่ครั้งนี้จะต้องแตกต่างออกไป...

5 วัน 4 คืน กับเมืองน่าน ไปลุยกันเลย! (19-23 ตุลาคม 2556)

19 ตุลาคม

การเดินทางของเรายังใช้รถยนต์ส่วนตัวเช่นเคย ออกเดินทางจาก กทม. ตอนประมาณ 6.45 น. ใช้เส้นทาง อยุธยา > อ่างทอง > สิงห์บุรี > นครสวรรค์ (ข้าวเช้าที่ปั๊มน้ำมัน) > พิษณุโลก

แวะพักรถและคนรอบที่สองกับ Cafe Amazon (ที่อยู่ในช่วงโปรโมชั่น ลดแก้วละ 8 บาทพอดี) ตอนประมาณเที่ยงตรง


ระหว่างทางมีฝนตกเทกระหน่ำ ทำเอาล้อรถปัดไปมา บังคับยากอยู่เหมือนกัน โชคดีที่เจอร้านก๊วยเตี๋ยวชาวบ้านระหว่างทาง ก็เลยแวะเติมพลังกันซักหน่อย บวกกับขับต่อไปก็ไม่เวิร์คด้วย ขนาดมีร่มก็ยังเปียกอยู่ดี -...-

ราคาถูกกว่าใน กทม. เยอะเลยยยยยย

รองเท้า กางเกงเปียกกันเป็นแถวๆ

บะหมี่แห้งของผมเองฮะ
จากนั้นก็ยิงยาวต่อกันไปที่ อุตรดิตถ์ > แพร่ > น่าน

ถึงตัวเมืองน่านตอนประมาณสี่โมงเย็น (ใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 10 ชั่วโมง รวมแวะพักตามทาง)

ในคืนแรกนี้ เราเลือกพักกันที่โรงแรมเทวราช เป็นโรงแรมในตัวอำเภอเมือง


หลังจากเข้าไปเช็คความเรียบร้อยของห้องพัก

ห้องพัก เป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียง มีทีวีให้ดู มีแอร์ น้ำดื่ม 2 ขวด ส่วนในห้องน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่น อ่างอาบน้ำตามปกติ

เปิดหน้าต่างออกไป จะเจอกับอาคารบ้านเรือนของ อ.เมืองน่าน ท้องฟ้า ภูเขา และเสาสูงๆ ที่มีอยู่ไม่กี่ต้น

เช็คอินห้องด้วยการถ่ายภาพกับน้องซักนิด
หลังจากเก็บของเรียบร้อย ก็ออกมาเดินตลาดสดตรงข้ามโรงแรม ของที่นี่ราคาถูกมาก (ถ้าเทียบกับ กทม. เรา)



ประทับใจตรงที่ในตลาดมีร้านสลัดผักแบบให้ตักเองด้วย มะนาวก็ลูกโต๊โต ผลไม้เริ่มต้นที่ 10 บาท กล้วยเป็นหวีเลยนะ!







หลังจากชมตลาดเสร็จ ก็ไปเดินเลาะริมน้ำ มีคนกำลังซ้อมพายเรือกันอยู่้ด้วยล่ะ




ได้เวลาอาหารเย็น..ตอนแรกว่าจะลองครัวสะเนียนที่อยู่ริมน้ำซะหน่อย แต่คนเยอะจัง ก็เลยขับรถไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปเจอกับร้าน ข้าวต้มนนท์เลิศรส หัวปลาหม้อไฟ ขาไก่ซุปเปอร์


หัวปลาหม้อไฟ เวิร์คจริงๆ อะ





นอกจากรสชาติประทับใจแล้ว option เรื่องยากันยุง ยังดีมากๆ มีให้เลือกระหว่าง สเปรย์ กับ แบบขด ก็เลยขอแบบสเปรย์มาดีกว่า (ยี่ห้อนี้กลิ่นเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ)


ใครบอกว่าภาคเหนือไม่มียุง...มันไม่จริงเลย

เมื่อท้องอิ่มก็ได้เวลาออกเดินย่อย

หลังจากที่หลงทาง วนรถไปมาอยู่สักพัก ก็หาทางกลับมาโรงแรมเทวราชจนได้ (อันเกิดจากไม่คุ้นทาง ทางเล็ก และมื๊ดมืดดดดดดดดดดดดดดด)

เป็นเรื่องโชคดี!!! ที่คืนนี้มีถนนคนเดิน แถมอยู่่ห่างจากที่พักไปแค่สี่แยกจราจรเดียว




ถนนคนเดินที่นี่แตกต่างจากเมืองเชียงใหม่ (ที่มีสองที่) ตรงที่ไม่ค่อยมีของกระจุกกระจิก หรือแฮนด์เมดน่ารักๆ เท่าไหร่ แต่มีของกินเยอะมากกกกกกกกกกก




คือถ้าไม่ได้กินข้าวเย็นมาแล้ว คงแวะมันทุกร้าน โดยเฉพาะร้านไอติมที่ใส่ลูกมะพร้าวขาย คนต่อคิวเยอะมากๆ เลย


แล้วที่ได้ฟีลมากๆ คือ มีดนตรีสด เล่นเพลงเหนือให้ฟัง มีโตกอยู่หลายตัว ให้เอาอาหารมานั่งกิน แล้วก็นั่งฟังเพลงไปด้วยได้ แจ๋วชะมัด





คนที่เดิน เท่าที่เห็นแล้วก็เป็นคนพื้นที่ซะเยอะอยู่เหมือนกัน


ที่นี่เราก็ได้เจอกับ ปู่ม่าน ย่าม่าน เป็นครั้งแรก เป็นสกรีนเสื้อ, กระเป๋า, ภาพวาด แวบแรกที่คิดคือ ผู้ชายผู้หญิงสองคนนี้นี่เป็นใครกัน (ก็ได้แต่สงสัยไปก่อน)




เดินอยู่สักพัก ก็เสียตังค์ซื้อกระโปรง-เข็มขัดชาวเขาไปจนได้ -3-


เด็ก-ผู้ใหญ่ แว๊นที่นี่เห็นเยอะอยู่เหมือนกันนะ เป็นเมืองที่ใช้ จักรยาน และ มอไซค์ เดินทางกันซะมาก


ก่อนจะเดินถึงโรงแรม ก็เจอกับร้านขายลองกองตันหยง แม่ค้าบอกว่าเอาพันธุ์มาปลูกที่น่าน พ่อกับแม่ก็เลยซื้อเผื่อใส่บาตรพรุ่งนี้เช้า (ส่วนเรากับน้องนอนตายสนิท)



อ๋อออ คือถ้าเดินถนนแถวนี้ แล้วโดนขี้นก (เข้าใจว่าเป็น) นางแอ่น ใส่หัว ก็น่าจะเป็นเรื่องปกตินะ เพราะมองไปบนฟ้าเห็นอยู่กันเป็นชุมชนแออัดเชียว



วันแรกไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนเท่าไหร่ เก็บแรงไว้ลุยต่อวันที่สองดีกว่า!

20 ตุลาคม

เนื่องจากโรงแรมเทวราชมีสระว่ายน้ำ ก็เลยตื่นมา Exercise กันหน่อย ตอนอยู่บนบกก็ไม่เย็นเท่าไหร่หรอกนะ พอลงน้ำเท่านั้นแหละ หนาวสุดๆ ไปเลย


อาหารเช้าที่โรงแรมเทวราช ก็มีทั้งข้าวผัด ข้าวต้ม สลัด ขนมปัง กาแฟ ตามมาตรฐานโรงแรมปกติทั่วไป

แล้วก็เริ่มตระเวนรอบเมืองแบบเร็วๆ เริ่มที่

วัดภูมินทร์



เดิมชื่อ "วัดพรหมมินทร์" ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ผู้สร้างวัด แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็น วัดภูมินทร์ เป็นวัดที่สร้างทรงจัตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาคขนาดใหญ่  2 ตัว แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัว


ตรงใจกลางพระอุโบสถจัตุรมุข ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่  4 องค์ หันพรพักตร์ออกด้านประตูทั้งสี่ทิศหันเบื้องปฤษฏาค์ชนกัน ประดับนั่งบนฐานซุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย




ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง แสดงเรื่องราวชาดก  วิถีชีวิตตำสนานพื้นบ้าน และความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต



ภาพเด่นคือ ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อในสมัยโบราณกระซิบสนทนากัน ผู้ชายสักหมึก ผู้หญิง แต่งกายไตลื้ออย่างเต็มยศ


เป็นวัดที่ทำให้เราหายสงสัยว่า ผู้ชายผู้หญิงในภาพวาดที่ทำเสียงกระซิบกระซาบกันเป็นใคร แล้วเค้ากระซิบเรื่องอะไรกัน



สถูปเจดีย์พระมาลัยโปรดโลก
ภายในก็จะเป็นรูปปั้นจำลองนรกสำหรับคนที่ทำบาป



วัดภูมินทร์ ตั้งอยู่บนถนนสุริยพงษ์ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ตรงข้ามกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เทศบาลเมืองน่านและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตอนที่เราไปถึง (10.30น.) รถรางชมเมืองเพิ่งจะออกไป จะมีอีกรอบก็ตอนบ่ายเลย เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากนั่งรถราง อาจจะต้องเช็คเวลาดีๆ นิดนึงนะคะ



ไปต่อกันด้วย

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน


เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำจังหวัดน่าน ตั้งอยู่ภายในคุ้มของอดีตเจ้าผู้ครองนครน่าน (หอคำ) ถนนผากอง ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน

ค่าธรรมเนียม : ชาวไทย 30 บาท เท่านั้น (ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาเหมือนว่าจะได้เข้าฟรีนะ)


อาคารชั้นล่าง
ประกอบด้วย
  • ส่วนหน้ามุขใช้เป็นห้องจำหน่ายบัตรเข้าชม หนังสือด้านวิชาการ สินค้าพื้นเมือง และของที่ระลึกอื่นๆ
  • ส่วนโถงกลางรวมถึงปีกอาคารด้านทิศเหนือ ใช้แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชาติพันธุ์วิทยาเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวน่าน และชาวไทยพื้นเมืองภาคเหนือ
  • ส่วนหลังซึ่งส่วนปีกอาคารด้านทิศเหนือ ใต้ และเฉลียง จัดแสดงเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่และเครื่องใช้ของเผ่าชนต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดน่าน






อาคารชั้นบน
ประกอบด้วย
  • ส่วนหน้ามุขซึ่งใช้เป็นห้องจัดนิทรรศการพิเศษ
  • พื้นที่ส่วนกลางเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ใช้จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของเมืองน่าน
  • ส่วนหลังซึ่งเป็นส่วนปีกของอาคารด้านทิศเหนือ ใต้ และเฉลียงหลัง จำวน 6 ห้อง ใช้จัดแสดงด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะของเมืองน่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน




โบราณวัตถุที่สำคัญ
  1. งาช้างดำ
  2. หีบพระธรรมไม้แกะสลัก ฝีมือช่างสกุลน่าน
  3. สมุดข่อยอาณาจักรหลักคำกฎหมายเมืองน่าน
  4. ครุฑยุคนาค ฝีมือช่างล้านนา
  5. ศิลาจารึกหลักที่ 64 อักษรสุโขทัย กล่าวถึงการกระทำสัตย์สาบานช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อเกิดศึกสงครามระหว่างเจ้าพระยาผากอง เจ้าผู้ครองนครน่าน และพระมหาธรรมราชาที่ 2 กษัตริย์แห่งสุโขทัย
  6. ศิลาจารึกหลักที่ 74 อักษรธรรมล้านนา กล่าวถึงพญาพลเทพกุรไชย เจ้าเมืองน่าน ได้ทำการบูรณะพระมหาวิหารให้วัดหลวงกลางเวียง (วัดช้างค้ำ)
งาช้างดำ
งาช้างดำ มีลักษณะเป็นงาปลียาว 97 เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนใหญ่ที่สุด 47 เซนติเมตร โพรงตอนโคนลึก 14 เซนติเมตร สีออกน้ำตาลเข้มไม่ดำสนิท มีจารึกอักษรล้านนาว่า "กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน" หรือประมาณ 18 กิโลกรัม สันนิษฐานว่าเป็นงาข้างซ้ายเพราะมีรอยเสียดสีกับงาชัดเจน
ชาวจังหวัดน่านถือว่า งาช้างดำเป็นวัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่านและถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของจังหวัดน่าน เป็นวัตถุโบราณที่หายากและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก

ความเป็นมาของงาช้างดำ
ไม่มีหลักฐานแน่ชัด มีเพียงตำนานเล่าสืบต่อกันมา 2 เรื่อง
  • เรื่องแรก ในสมัยพระเจ้าสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน (พ.ศ. 2353-2368) มีพรานคนเมืองน่านได้เข้าป่า ล่าสัตว์เข้าไปถึงเขตแดนระหว่างไทยกับเชียงตุงได้พบซากช้างตัวดำสนิทตายในห้วย พอดีกับพรานชาวเชียงตุงมาพบด้วยพรานทั้งสองจึงแบ่งงาช้างดำกันคนละข้าง ต่างคนก็นำมาถวายเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองเชียงตุง ได้ส่งสารมาทูลเจ้าสุมนเทวราชว่า "ตราบใดงาช้างดำคู่นี้ไม่สูญหาย เมืองน่านกับเมืองเชียงตุงจะเป็นมิตรไมตรีกันตลอดไป..."
  • เรื่องที่สอง เมืองน่านยกทัพไปล้อมเมืองเชียงตุงหลายเดือน ทำให้ชาวเมืองเชียงตุงเดือดร้อน โหรเมืองเชียงตุงทูลเจ้าเมืองว่า "เป็นเพราะมีงาช้างดำอยู่ด้วยกัน ทางที่ดีควรแยกออกจากกัน..." จึงนำงาช้างดำกิ่งหนึ่งมอบให้กองทัพเมืองน่านแล้วกระทำสัตย์สาบานเป็นมิตรกันตลอดกาล ความสำคัญของงาช้างดำนี้เชื่อกันว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 6 ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ได้ทำพิธีสาปแช่งเอาไว้ว่า "ให้งาช้างดำนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป ผู้ใดจะนำไปเป็นสมบัติส่วนตัวมิได้ ต้องไว้ที่หอคำหรือวังเจ้าผู้ครองนครน่านเท่านั้น..."


มาถึงเมืองน่านไม่ได้มานมัสการ  ถือว่ามาไม่ถึงเมืองน่าน...

พระธาตุแช่แห้ง

เดิมเป็นวัดราษฎร์ ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวง ประดิษฐานอยู่ ณ อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร องค์พระธาตุตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเตี้ย ๆ เป็นสีทองสุกปลั่ง สามารถมองเห็นได้แต่ไกล เนื่องจากสูงถึง 2 เส้น เป็นอนุสรณ์ของความรักและความสัมพันธ์ ระหว่างเมืองน่านกับเมืองสุโขทัยในอดีต เป็นพระธาตุประจำปีเถาะ


ปริศนาธรรมคำว่า “แช่แห้ง”
     
คำว่า “แช่แห้ง” มีความหมายโดยนัยว่า ยอดคนหรือมหาบุรุษเท่านั้นที่จะทำตัวให้แห้งอยู่ในสภาวะแห่งความเปียกปอนของอวิชชา ความมืดบอด แห่งสรรพกิเลศตัณหาต่างๆ ที่มากมายยิ่งกว่าสายน้ำและมหาสมุทรทั้งหลายในโลกรวมกัน มนุษย์จะสามารถมีความสุขท่ามกลางทะเลแห่งความทุกข์ยากอันหมายถึงมหาวัฏฏสงสารได้อย่างไร


อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยปริศนาธรรมแห่งคำว่า “แช่แห้ง” จึงยุติอยู่ที่ “อริยสัจ 4 ประการ” เพราะคำว่า แช่ หมายถึง การเปียกปอน การดิ่งจมลงในทะเลแห่ง วัฎฎสงสาร หมายถึงต้นเหตุแห่งทุกข์ มี 2 ประการคือ ทุกข์ และสมุหทัย คำว่า แห้ง หมายถึงการหยุดนิ่งและสิ้นสุดแห่งอาสวกิเลศทั้งปวง มี 2 ประการคือ นิโรธหรือนิพพาน และ อริยมรรค อันมีองค์ 8 ประการ คือเส้นทางที่พระตถาคต ชี้นำให้พุทธศาสนิกทั้งมวล เดินตามรอยแห่งพุทธองค์ จึงสรุปได้ในที่สุดว่า คำว่า “แช่แห้ง” จึงหมายถึง “การดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง”


วิหารพระพุทธไสยาสน์
เดินมากๆ เข้าก็เหนื่อย... เติมพลังกันดีกว่า!

เป็นร้านที่ออกแนวคาราบาวนิสนึงงงงง ออกจะมืดๆ (แต่พอเข้าไปก็ไม่ได้มืดเท่าไหร่)

ชื่อร้านอาหาร "ปู่สม" เน้นเนื้อเป็นหลัก ไม่ค่อยมีผัก ดูท่าจะเป็นร้านที่เหมาะกับการ drink ตอนกลางคืนมากกว่านะ -w-







เมื่อท้องอิ่ม ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ เป้าหมายของเราต่อไปคือ อ.บ่อเกลือ

และเช่นเคย ถ้าไม่หลงทาง คงไม่ใช่ครอบครัวเรา โทรศัพท์หาที่พักอยู่หลายครั้ง (สัญญาณก็มีบ้างไม่มีบ้าง เพราะหุบเขา หุบเหวเยอะเหลือเกิ๊นนน) บอกทางกันไปกันมา สรุปคือ...ไปเที่ยวก่อนค่อยเข้าที่พักแล้วกันนะ!

มาถึง

ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา

ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว อากาศก็เริ่มเย็น ทั้งๆ ที่พระอาทิตย์ยังไม่ตก


สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทรงโปรดฯ ให้จัดตั้งศูนย์ภูฟ้าพัฒนาขึ้น เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 เพื่อใช้เป็นต้นแบบการพัฒนาและการถ่ายทอดความรู้การพัฒนาไปสู่พื้นที่ และราษฎรในเป้าหมายท้องที่อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ตามพระราชปณิธานของพระองค์ โดยมีวัตถุประสงค์ 5 ประการ ดังนี้
  • เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎรบนพื้นที่สูงและใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อไป
  • เพื่อการส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมกับศักยภาพของราษฎรและพื้นที่บนที่สูง
  • เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องด้านการตลาด
  • เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ศึกษาธรรมชาติ วัฒนธรรมท้องถิ่น
  • เพื่อการศึกษาวิจัยถ่ายทอดความรู้การพัฒนาและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่ยั่งยืน สู่จุดมุ่งหมาย “ คนอยู่ร่วมกับป่า ”



ตอนแรก (ก่อนจะมาเที่ยว) ที่หาที่พักคืนที่สอง ว่าจะนอนที่ศูนย์ภูฟ้านี้แล้ว แต่เท่าที่อ่าน review จากหลายที่พบว่า ที่นี่ไม่ค่อยมีความสะดวกในเรื่องอาหารการกิน แล้วที่พักก็ไม่มีของครบตามที่ต้องการเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไม่ได้เลือกที่นี่ (แต่ถ้ามาเป็นหมู่คณะ แนะนำให้พักที่นี่นะ นอกจากราคาถูกแล้ว ยังสามารถแจ้งความจำนงให้เค้าทำอาหารให้ได้ด้วย)




ขับรถกลับไปทางขาเข้าอีกนิด เลี้ยวซ้ายออกไปหน่อย ก็จะได้พบกับที่ทรงงานของพระเทพฯ ค่ะ เอารถไปเทียบไม่ได้นะ ต้องจอดด้านหน้า แล้วเดินเข้าไป (แบบขึ้นเขานิดๆ)





รอบๆ ที่ประทับนี้ เป็นระเบียงไม้ให้เดินวนได้ ต้นไม้ดอกไม้พากันออกดอกออกใบ ชุ่มชื่นมากๆ





ก่อนที่ฟ้าจะมืด เราต้องรีบไปหาที่พักก่อน บนดอยบนเขาแบบนี้มีไฟถนนที่ไหนกัน

และแล้วเราก็มาถึงที่พักจนได้!

บ่อเกลือฟ้าใส



ได้ที่พักเป็นบ้านหลังหนึ่ง มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ กว้างมากๆๆๆๆๆ


ที่นี่มี Free WIFI ให้ใช้ แบบไม่ต้อง login อะไรเลย แถมแรงด้วย!! (รอบข้างที่พักดูเหมือนจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ คงไม่ต้องกลัวใครมาใช้งานด้วย)

ออกไปหาอาหารเย็นกันดีกว่า! ขับรถเข้าไปทางตลาดของ อ.บ่อเกลือ ก็จะพบชุมชนเล็กๆ (ย้ำว่าเล็กจริงๆ) เชื่อไม๊ ว่าวนหาร้านอาหารนานมาก ถามไปถามมาก็ได้ความว่า ถ้าไม่กินร้านอาหารบนเขานู้น ที่เป็นของ บ่อเกลือวิว รีสอร์ท ก็ต้องกินตรงร้านที่อยู่หัวสะพาน (จะราคาคนกันเองหน่อย) นี่คือได้ความรู้มาจากเจ้าของรีสอร์ท "อุ่นไอมาง" ที่ยังไม่เปิดให้บริการตอนนี้ (ตอนเดือนนี้)



ในเว็บไซต์ที่เราดูไปก่อนเที่ยว รีสอร์ทอุ่นไอมางตรงนี้วิวดีมากๆ ที่นอนก็เป็นซุ้มกระโจมแบบอินเดียแดง อยู่ติดน้ำ ตอนเช้าก็จะมีหมอกลอย โหยยยย สวยจะตาย


เหตุผลที่เค้ายังไม่เปิดบริการเดือนนี้ก็คือ ฝนเพิ่งหยุดตก หญ้ายังไม่แห้งดี ยังไม่สามารถกางกระโจมได้ ถ้ายังไงให้มาใหม่ช่วงปลายปี หรือต้นปีนะ


เจ้าของรีสอร์ทอัธยาศัยดีมาก คราวหน้าจะต้องมาที่ "อุ่นไอมาง" ให้ได้เลย


หลังจากกินบรรยากาศเรียบร้อย ก็ได้เวลากินอาหารจริงๆ ทันทีที่ขึ้นรถปั๊บ... ล้อก็ฟรี (เนื่องจากจอดอยู่บนพื้นดิน ที่มีหญ้าขึ้นเล็กน้อย และดินยังไม่แห้งดี)

ฟรี๊!!!!!!

เปิดหน้าต่างดู พบว่าเป็นล้อหลังข้างซ้าย

ฟรี๊!!!

อีกที...เศษหญ้ากระเด็นเข้าหน้า = =" เจ็บชะมัด!!!

สุดท้ายก็ได้เจ้าของรีสอร์ทที่เป็นพี่ผู้ชายมาขับรถแทนพ่อ เร่งเครื่องแบบสุดขีด แว๊นแบบสุดขั้ว จนเอารถเราไปจอดบนถนนที่เป็นพื้นปูนได้... ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

เพิ่งได้เห็นศักยภาพรถของเราแบบจริงจังก็วันนี้เอง lol

มื้อเย็นเราตกลงปลงใจกันที่ร้านหัวสะพาน แน่นอนว่าร้านมืด (ก็แค่เราไม่ชิน)



อาหารก็หมดไปเกือบซะทุกอย่าง ... นี่มันเพิ่งทุ่มเดียวเองน้าาาาาาา



อาหารถูกปาก และราคาไม่แพงเท่าไหร่


เจ้าของร้านนี้เป็นพี่ผู้ชาย เคยเป็นเชฟโรงแรมและลาออกมาเปิดร้านอาหารเองจ้ะ พอกลางวันก็ไปรับจ๊อบพิเศษปลูกต้นสตอเบอร์รี่ที่โรงแรมบ่อเกลือฟ้าใส (ที่เราพักคืนนี้นั่นเอง)

ที่สำคัญมากคือ มี #thevoiceth SS2 ให้ดูด้วย (battle round) เจ้าของร้านก็ติดเหมือนกัน 55+

ก่อนจะกลับที่พัก เราต้องกักตุนอาหารเช้ากันก่อน เพราะว่าที่พักไม่มีบริการอาหารเช้า แล้วตอนเช้าถ้ามาในตลาดก็จะไม่มีอะไรให้่กินเหมือนกัน =w=

ที่นี่ไม่มี 7-11 มีแต่ร้านขายของชำ เป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนแท้ๆ หนอ

กลับไปถึงที่พักอากาศเย็นชุ่มฉ่ำมาก เป็นเหตุผลที่ว่าที่พักที่นี่ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม (แต่พัดลมยังไม่ต้องใช้เลย) พอหนาวมากๆ ก็ไม่มียุง (มันดีตรงนี้)

คืนนี้หลับสบายสุดๆ พรุ่งนี้จะตื่นเช้ามาเจอกับสายหมอกแล้วล่ะ!!!

To Be Cont.

ที่มาของเนื้อหาสาระ
  • http://goo.gl/uos0wz
  • http://www.paiduaykan.com/76_province/north/nan/watpumin.html
  • http://www.manager.co.th/travel/viewnews.aspx?NewsID=9560000085394
  • http://goo.gl/hqAG3r
  • http://www.oknation.net/blog/print.php?id=806304
  • http://goo.gl/0fVXXG
  • http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000001826
  • http://www.nan.go.th/copp/phufa/indexphufa.htm

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์ตรงกับการโดน Facebook บังคับเปลี่ยนชื่อ ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "รอ"

สองชั่วโมง สองที่เที่ยว ด้วย เรือหางยาว เจ้าพระยา

น้องนีโม่ กับ โรคฉี่หอม