เรื่องเล่าจากภาพ : สุพรรณบุรี ใครว่า น้ำไม่ท่วม?

30 ตุลาคม 2554


น้ำท่วมยิ่งมากเท่าไหร่ น้ำใจไทยยิ่งมากกว่านั้น

มาเริ่มการเดินทางไปสุพรรณบุรี ตามความต้องการของท่านพ่อเราเอง ท่านพ่อลงทุนตื่นแต่เช้า ขับรถไปซื้อของที่ makro จรัญฯ 37 (ซื้อมาอย่างเยอะ!!!) เพื่อจะเอาไปให้ญาติๆของเราที่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ที่กลายเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วมไปแล้วเรียบร้อย เอาจริงๆก็ หลายเดือนแล้วด้วย

ที่เค้าบอกๆกันว่า

สุพรรณฯ น้ำไม่ท่วม

อาจจะเป็นที่อำเภออื่นๆ ที่อยู่เหนือๆ
ที่ไม่ท่วม เพราะ ไม่ใช่ทางผ่านของมวลน้ำค่ะ แต่ สองพี่น้องที่อยู่ค่อนมาทาง กทม. นี่ ไม่ใช่เลย...
ท่วมจริงอะไรจริง เดี๋ยวค่อยไปดูภาพกันนะ :)

การเดินทางในวันนี้ ไม่สามารถใช้เส้น "ราชพฤกษ์" "บรมราชชนนี" เพื่อไปออก บางใหญ่ บางบัวทอง เข้าสู่ ถนนที่จะไปสุพรรณบุรีได้อีกต่อไป เพราะว่า น้ำมันท่วมไปนานแล้ว ก็อย่างที่ข่าวออกกัน
เพื่อนเราหลายคนที่อยู่แถว บางบัวทอง บางใหญ่ ก็กลายเป็นผู้ประสบภัย ต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นไปเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ถ้าไปทางนั้นคงได้เข็นรถแน่ๆ 55

เราจึงใช้เส้นทาง ที่อ้อมโลกมาก นั่นคือ เพชรเกษม ออก นครปฐม แล้วค่อยตีกลับเข้าไปที่ สุพรรณบุรี ทำให้การเดินทางไปสุพรรณบุรีที่ว่า สะดวก ง่าย รวดเร็ว ไม่เหลือคำนิยามเช่นนั้นอีกต่อไป = ="

ปกติใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1 ชม. ก็ถึงบ้านอา แต่วันนี้ ขาไป ใช้เวลาไป 2 ชม. กว่าได้ ส่วนขากลับ ก็ 3 ชม. กว่า (ทำยังกับไปหัวหินแหนะ)

หลังจากที่เพลียกับการเดินทางอย่างมาก ก็ไปแวะหาอะไรรองท้องที่ ตลาดบางลี่ค่ะ (ตลาดเก่าแก่มาก) เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นโบราณ ที่อร่อยมาก > <" ก็เลยซัดไปสองชาม 55


แล้วก็ไม่ลืมที่จะซื้อ กล้วยปิ้ง (แบบโบราณ) อีกเหมือนกัน มันจะปิ้งแบบ นิ่มๆไปทั้งลูกอะ เข้าใจไม๊? ^ ^
แต่เหมือนราคาจะแพงขึ้นนะ 3 ลูก 10 สงสัยว่า ต้นกล้วยจะโดนน้ำท่วมไปหมดแล้ว - -"


หอนาฬิกาบางลี่ ที่ยังอยู่เป็นอนุสรณ์เหลือให้ได้ชมกัน
ถ้าเทียบกับสิ่งก่อสร้างปัจจุบัน ทำให้หอนาฬิกานี้ดูเล็กไปเลยแฮะ


กำลังจะกลับขึ้นรถ แต่ว่า มีรถมาจอดขวางทาง แถมยังใส่เบรกมือ ไม่ให้เข็นอีก

แย่จริง!!!

ถ้าจอดรถขวางคนอื่นแบบนี้ ไม่ควรใส่เบรกมือนะคะทุกคน
การรอเค้ากลับมาเปิดรถ กลางแดดร้อนๆมันหงุดหงิด รู้ไม๊คะ ???


จากนั้นเราก็ขับรถอ้อมไปอ้อมมาอีกเหมือนเดิม จนมาถึง
วัดสำเภาทอง
ซึ่งวันนี้มีงานกฐินที่นี่ค่ะ

ท้ายรถเราของเยอะมากจริงๆ > < 
ทั้งของสด ของแห้ง กะเอามาแจกล้วนๆเลยค่ะ


นี่แหละค่ะ วัดสำเภาทอง ที่เอ่อนองไปด้วยน้ำ - -"

สำหรับทางเข้าไปศาลา
ทางวัดได้นำกระสอบทรายมาวางเป็นทางเดิน แล้วก็เอาไม้พาดอีกที

เพื่ออำนวยความสะดวกและความไม่เปียกให้กับญาติโยมทั้งหลายค่ะ


หลังจากเดินเข้ามาถึงศาลา(ชั้นสอง) แบบไม่เปียกแล้ว พอมองกลับลงไป ก็จะเห็นว่าที่นี่

เต็มไปด้วยน้ำ

แต่ก็สวยไปอีกแบบนะ ^ ^


มาถึงตอนที่พระท่านกำลังให้พรพอดีเลยค่ะ มารับพรแบบงงๆ 55
ความจริงคือ งานเลื่อนให้เร็วขึ้นเป็นชั่วโมงแหนะ

เพราะพระท่านกลัวว่า ญาติโยมทั้งหลายจะกลับลำบาก
อีกอย่างคือ เราใช้เวลาในการเดินทางนานเกินไป (จริงๆนะ)


ได้มารับน้ำมนต์แบบฉิวเฉียด
(อร๊าาาากกกก ร้อนนนน <-- ไม่ใช่ละ - -*)


จากนั้นพ่อก็เอา v-fit ไปถวายหลวงลุงโมทย์ มาเป็นลังกันเลยทีเดียวค่ะ


ต้นกฐินที่ยังเหลือร่องรอยให้ดู ส่วนของทั้งหลาย เก็บไปแล้วค่ะ
เห็นว่าปีนี้ ได้ยอดกฐิน

550,000 บาท

เยอะไม่ใช่เล่น ><

ศรัทธาของชาวพุทธนี่แข็งแกร่งจริงๆ


ออกไปเดินตรงระเบียงศาลา มองลงไป ก็จะเจอกับ น้ำท่วม...อีกแล้ว - -"


ไม่เอาละ ไปหาอะไรอย่างอื่นดูดีกว่า
ก็เลยลงมาตรงโรงครัวของวัดค่ะ

ทางวัดมีเลี้ยงอาหาร-ขนม มากมายสำหรับพุทธศาสนิกชนที่มาทำบุญในวันนี้


แต่เนื่องจากครอบครัวเราอิ่มเกินกว่าจะกินอะไรอีกได้ เราก็เลยไปเดินถ่ายรูปเล่นดีกว่า

ที่วัดนี้มีการก่ออิฐบล็อกเหมือนกัน ยอมให้ท่วมบางส่วน แล้วก็ไม่ยอมให้ท่วมบางส่วน

ศาลาเก่า ที่ครอบครัวของเรามาใช้ทุกปีในการทำบุญกระดูกให้ปู่กับย่า

กลายเป็นที่จอดเรือไปแล้วเรียบร้อย
เห็นแล้วคิดถึงพวกละครย้อนยุค ที่เอาเรือมาจอดเทียบท่า แล้วก็ขึ้นไปทำบุญกัน

ยังไงยังงั้นเลยอะ



อันนี้เดินข้ามสะพานไม้มาอีกฝั่ง 
โดนกั้นด้วยสายน้ำเป็นที่เรียบร้อย


มองออกไปที่แม่น้ำท่าจีน ทุกอย่างละลานตาไปด้วย

น้ำ น้ำ น้ำ น้ำ น้ำ


แล้วก็ไปบุกกุฏิหลวงลุง
ความจริงคือ หลวงลุงเรียกให้ไปถ่ายรูปให้หน่อย

พอเข้าไปก็เจอกับความตกใจไม่ใช่น้อย

กุฏิพระก็ไม่รอดเหมือนกัน 

T T



หลวงลุงบอกว่า
"ใครว่าสุพรรณ น้ำไม่ท่วม"
"มาดูซิว่า พระเดือดร้อนขนาดไหน"

แหะๆ แล้วหนูจะบอกใคร อะไร ยังไง ดีล่ะคะ - -?



ไม่ว่ากระแสน้ำจะมากเพียงไหน
แต่กระแสบุญของที่นี่ ดูเหมือนจะมากกว่านะ


ทอดกฐินกันกลางน้ำ เป็นประสบการณ์ที่ดีไปอีกแบบ



สรุปง่ายๆ ที่วัดแห่งนี้ ที่ๆเคยเป็นพื้นดิน ตอนนี้มีแต่พื้นน้ำค่ะ

พอเราเดินออกมาจากวัด มองไปอีกฝั่ง

ทำไมมันแห้งอะ

ก็ได้คำตอบว่า เค้ากันน้ำไว้ เพราะว่าฝั่งนั้นทำการเกษตร ปลูกข้าวอยู่ (บลาๆ)

ไม่อยากจะว่านะ แต่มัน โกงกันนี่หน่า บุ่วววว -3-


เดินๆต่อไป ผ่านรถ กระแทะ หรือ อีแต๊ะ อะไรซักอย่าง
เรียกไม่ถูกอะ...


ประตูน้ำ
ตอนนี้มีน้ำสองฝั่งเท่ากันเด๊ะ 55


เดินๆมาซักพัก ก็เจอกับ ป้ายนี้!!!



ก็เลยต้องพายเรือเข้าบ้านอากัน เย้!! (เห็นเป็นเรื่องสนุกตลอด > <) 

ส่วนรถพ่อก็ต้องจอดไว้ที่ถนนส่วนที่น้ำยังไม่ท่วมนั้นแหละค่ะ



พายๆเข้ามา เจอกับบ้านปู่ชุ่ม

เออะ!!!

นี่มันเกินครึ่งบ้านอีกนะคะ (ที่อยู่ใต้น้ำคือ ใต้ถุนแบบบ้านสมัยเก่า)



เราโดยสารเรือลำนี้มา ^ ^ เป็นญาติๆห่างๆแหละ

พ่อก็เลยให้น้ำมันพืชกับข้าวสารไปเป็นค่าโดยสาร

ความจริงคือ ตั้งใจเอามาให้น่ะแหละ


ยกรถกันเป็นแถบๆ


ห้องน้ำบ้านอาชั้นล่าง

เรียบร้อยไปแล้วค่ะ


อาอีกคนก็ปั๊มน้ำอย่างจริงจัง เฝ้ากันทั้งวันทั้งคืน


บ้านหลังนี้ พ่อเราซื้อไว้ แต่ยังไม่ได้ถอดออกมาประกอบร่างใหม่ซักที

สงสัยว่าตอนนี้

คงต้องรอไปก่อน 55


พ่ออยากจะลงไปเดินเล่น แต่ห่วงว่าเสื้อผ้าจะเปียก แล้วข้าวของในกระเป๋าจะพัง ก็เลยต้อง

วัดระดับน้ำกันซะหน่อย


ลงไปแล้ววววววว


แล้วพ่อก็เดินต่อไปจนถึงสะพานที่ปกติเอาไว้ลงแม่น้ำ

แต่เราไม่ได้เดินไปด้วยหรอกนะ มีกล้องอยู่กับตัวนี่หน่า เดี๋ยวลงไป เกิดลื่นตะไคร่ขึ้นมา

งานก็งอกสิคะพี่น้อง


กลับมาดูกันที่หน้าบ้าน ต้องยอมปล่อยให้บางส่วนเข้าเหมือนกันค่ะ

คนธรรมดาอย่างเราจะไปต้านทานมวลน้ำก้อนยักษ์ได้อย่างไร



เดินสำรวจจนเหนื่อย มากินขนมดีกว่า

ทายซิว่าอะไร???


ข้าวเหนียวปิ้ง นั่นเองค่ะ ^ ^
ซื้อที่ นครปฐม - -"

ข้อดีของการขับรถอ้อมโลกคือ ได้ไปซื้อของอร่อย
(พยายามคิดแง่ดีสุดๆ)

แล้วน้องกับพ่อก็จัดของที่จะให้เค้าเป็นชุดๆ


มาอยู่หลังกระสอบทรายแบบนี้ คิดถึง ทหาร บังเกอร์ และสนามรบ เลยอะ

อยากได้ปืนฉีดน้ำซักกระบอก น่าจะสนุก (คิดเรื่องเล่นตลอด)


ได้เวลาไปแจกของแล้วค่า



เราก็พายเรือเป็นนะ ^ ^ 

แต่โดนน้องแย่งพายไป เพราะว่า น้องเพิ่งจะโตพอพายเรือเป็น
และ น้ำเพิ่งจะท่วมหนักขนาดนี้ หลังจากไม่ท่วมมาหลายปี

แต่น้องพายเรือแบบ สาดน้ำใส่ T T



แจกของหลายบ้านเลยค่ะ 



คาดว่าอีกไม่นานคงต้องเรียกช่างไฟมายก ไม่งั้นได้โดนดูดแน่ๆ



บ้านหลังนี้ คุณย่าเข้าไปหาหมอที่ตัวตลาดบางลี่ ก็เลยฝากของไว้กับเรือหน้าบ้าน

หวังว่าจะไม่หายนะ น้ำท่วมขนาดนี้ คงไม่หรอกมั้ง 

แต่ถ้าหาย ก็ไม่เป็นไร
เพราะซื้อของมาตั้งใจจะให้คนที่เค้าเดือดร้อน
คนที่เอาไป เค้าคงเดือดร้อนจริงๆ
ก็ทำบุญเหมือนกัน ไม่เห็นจะเป็นไรเลยเนอะ ^ ^


น้ำสะท้อนกับแดด สวยจัง >_______<


นก ก็สวย ^ ^




พายเรือกลับมาแล้วจ้า หลังจากไปตระเวนแจกของ

แดดร้อนอะ > <"



บังเอิญว่าบ้านอาค่อนข้างสูง บวกกับ กระดี่บ้านขึ้นมาสูง ก็เลยยังไม่ท่วมเท่าไหร่


นี่ไง รถกระแทะ / อีแต๊ะ ซักอย่าง

กลายเป็นรถรับจ้างลุยน้่ำ คน/ของ อย่างละ 10 บาท / รอบ

แต่ก็วิ่งแค่ถนนสายหลักนะ ไม่ได้เข้าซอย เพราะคงเดี้ยงเหมือนกัน


น่าเสียดายที่พายเรือมา เลยไม่ได้ไปยืนบนรถเลย เอาไว้คราวหน้า ถ้ามีโอกาส ต้องไปลอง!!




รถคันนี้ใจกล้ามาก ลุยน้ำเกือบครึ่งคันแหนะ


สำหรับภาพข้างล่างนี้ มันคือ ถนนสายหลักค่ะ ถนนจริงๆนะ มีเส้นสีเหลืองแบ่งทางด้วย 55



ช่วยตัวเอง ก่อนขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

ดูเหมือนว่า ทุกที่ตอนนี้ก็เดือดร้อนเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่า ใครจะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับน้ำได้มากกว่าเท่านั้นเอง คนที่นี่ยังใช้ชีวิตเกือบเหมือนปกติทุกอย่าง แม้กระทั่งการทำบุญ อย่างตอนเช้าๆ ก็มีพระพายเรือมาบิณฑบาตรด้วย

เอาจริงๆ เมื่อก่อน คนไทยก็ใช้ชีวิตอยู่กับสายน้ำกันนี่หน่า แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไป เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไป เราเองต่างหากที่ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยน แล้วเราเองต่างหากที่ยอมรับกับการกลับมาของธรรมชาติไม่ได้

บางทีคน กทม. จำนวนมาก อาจจะคุ้นเคยกับความสะดวกสบายมากเกินไป จนวันหนึ่ง อะไรๆที่เคยใช้มันหายไป ก็โวยวาย ร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งๆที่บางที ยังไม่ทันได้ช่วยตัวเองด้วยซ้ำไป อย่างเรื่อง น้ำประปา แค่มีสี มีกลิ่นหน่อย ก็โวยวาย รับไม่ได้ กินไม่ได้ ใช้ไม่ได้ ทั้งๆที่ต่างจังหวัด เค้ายังกินน้ำบาดาล น้ำฝนกันด้วยซ้ำไป มีสติ แล้วหาทางแก้กันก่อน ไม่ได้มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอก แต่เราต้องรู้จักปรับตัวให้เป็น แล้วใช้ชีวิตอยู่กับมันให้ได้ดีกว่า

ถ้าคนไทยรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว เรื่องร้ายหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ อาจไม่ร้ายแรงถึงเพียงนี้ก็ได้นะ

มีสติในการทำทุกสิ่ง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

ปล. น้ำที่สุพรรณฯใสมาก น่าเล่นกว่าน้ำเน่าที่กทม.เยอะเลย ><"

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์ตรงกับการโดน Facebook บังคับเปลี่ยนชื่อ ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "รอ"

สองชั่วโมง สองที่เที่ยว ด้วย เรือหางยาว เจ้าพระยา

น้องนีโม่ กับ โรคฉี่หอม