Barcamp Bangkhen ครั้งที่2 [Afternoon session]

ฮ่าๆ ในที่สุดเรื่องราวของ Barcamp Bangkhen ครั้งที่2 ก็เดินทางมาถึง entry สุดท้ายแล้ว (เย้!!!)
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =


12:50 @ ห้องประชุมใหญ่(201)
Road to Imagine Cup 2012 & Microsoft Learning Tools (TH) [@genoaction]

ขณะที่กำลังเลือก session ที่จะเข้าไปฟังในเวลานี้อยู่ที่บอร์ดตรงชั้นสอง กำลังจะตัดสินใจไปที่ Human Hacking อยู่แล้วเชียว ก็มีคนเดินมาบอกว่า น้องมิ้นท์ถามหา ... หันไปมองตรงที่ vote ... อ่อ ห้อง slope อันนี้ น้องโอ๊ตเป็นคนพูดสินะ ก็เลยเดินเข้าไปหาน้อง แล้วน้องมิ้นท์ก็เดินยิ้มแบบ "แหะๆ" มาบอกว่า "พี่ถ่ายรูปให้หน่อยค่ะ เดี๋ยวต้องเอาไปส่งพี่ MS" ... นี่เรียกพี่มาใช้งานสิน้า!!! แต่น้องก็ ขอโทษที่ทำให้เราไม่ได้ไปดู session อื่น ... ไม่เป็นไรจ้า เข้าอันไหนก็เหมือนกันแหละ แถมอันนี้ได้มาดูน้องภาคตัวเองพูดด้วย ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่หน่า :)

น้องโอ๊ต CS25 (MSPKU FY'12) เปิด session ด้วย การเปิดวีดีโอให้ชมค่ะ เป็นวีดีโอเรื่องการแข่ง Imagine Cup ซึ่งปีล่าสุด ทีมที่ได้รางวัลกลับมา ชื่อทีม Jub Jub จาก มหิดล ค่ะ

น้องก็ชักชวนให้คนที่ยังสามารถแข่งได้ ลงชื่อแข่ง  Imagine Cup ค่ะ แล้วก็พูดถึงคนที่มีสิทธิ์โหลด software ฟรีของ MS อย่างเช่นนิสิตของ ม. เกษตรในตอนนี้ ก็กำลังดำเนินการให้ใช้ MSDNAA ได้ทั้งวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ค่ะ (เนื่องจากยังอยู่วงในอยู่ เลยพอรู้เรื่องบ้างค่ะ)


จากนั้นน้องก็แนะนำ tools ใหม่ของ MS ที่เดโมให้ดูมี 3 ตัวด้วยกันค่ะ คือ

Photo Auto Collage โปรแกรมรวมภาพตั้งแต่ 7 ภาพขึ้นไป จนถึง 25 ภาพ โดยการนำมารวมให้เป็นภาพๆเดียว ในขนาดที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็น 4X6, 5X7 หรือ 8X10 นิ้ว โดยมีการคำนวณเพื่อเกลี่ยส่วนเหลื่อมล้ำของแต่ละภาพให้โดยอัตโนมัติ ไป จนถึง 25 ภาพ

Microsoft Mathematics Add-In for Word and OneNote เครื่องคำนวนอัจฉริยะ ที่เป็น add-in ของ Microsoft word 2007,2010 และ OneNote 2010

Song Smith โปรแกรมสำหรับนักแต่งเพลง ที่ไม่ได้มีความรู้ทางดนตรีมากนัก ไม่จำเป็นจะต้องเล่นเครื่องดนตรี เพียงแต่มีไมโครโฟนที่ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ พอร้องแล้วโปรแกรมจะทำการใส่คอร์ดให้เราอัตโนมัติ

สำหรับคนที่สนใจ สามารถเข้าไปที่ http://www.pil.in.th ได้นะคะ (อันนี้ถามน้องมิ้นท์ MSPKU FY'12 มา)

หลังจากหมดเรื่องพูดแล้ว น้องก็หาทางปล่อยของที่ได้รับมาจากทาง MS ค่ะ โดยการให้ตอบคำถามง่ายๆ ถ้าตั้งใจฟัง แต่ที่ฮาที่สุด คงเป็นคำถามสุดท้าย ที่ให้ ตอบ product ของ MS ต่อไปเรื่อยๆ หยุดที่ใครก็ได้ของไป ... จะพบว่าทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ มีความรู้กันไม่ใช่เล่น บางคนรู้เยอะ รู้จริง แต่บางคนก็รู้เกรียนก็มีค่ะ :)

หลังจบ session น้องโอ๊ตก็มาถามว่า "เป็นยังไงบ้างครับพี่"
พี่คิดว่า ก็ฟังรู้เรื่องนะ เพียงแต่มันดูไม่ค่อยมีจุดสนใจเท่าไหร่ แล้วก็เราอาจจะยังไม่รู้จัก product นั้นดีพอ ไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่พี่ๆ MS มาเป็นคนพูด ขนาดน้องบอกว่าไม่ค่อยได้เตรียมตัว แต่สามารถทำได้ขนาดนี้พี่ว่าดีมากแล้วจ้า :)

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

13:40 @ 401
How to customize module for opensource vtiger crm (TH) [@THAMMATHAT]

vtiger CRM เป็น Open Source Software ที่เปิดให้ใช้งานได้ฟรีเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสามารถปรับแต่งหรือเพิ่มเติมในส่วนของความต้องการใหม่ๆได้ค่ะ

ที่เลือกมาเข้า session นี้เพราะว่า กำลังทำโปรเจคเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ค่ะ แต่ไม่ใช่การใช้ vtiger CRM แบบเพียวๆ เจาะลึกทุก module หรอกค่ะ โปรเจคที่เราทำเลือกใช้แค่บาง module เท่านั้นเอง วันนี้ก็เลยตั้งใจเข้ามาฟัง เผื่อว่าจะเอาไปทำอะไรกับงานของตัวเองได้บ้างค่ะ <--มีจุดประสงค์แอบแฝงตลอด! 55


พี่เค้าได้สาธิต
- การเพิ่ม field ใหม่
- การตั้งสิทธิในการเข้าใช้งานของ user แต่ละแบบ

การสร้าง module ด้วยตัวเอง ใน .zip จะมีส่วนประกอบอย่างนี้ค่ะ
- module : เป็น source code ที่เอาไว้ทำงาน
- template : เป็น user interface 
- file.xml : เป็นส่วนจัดการต่างๆ เช่น ตัวจัดการ Database, Block ของ Data, Field ต่างๆ
เมื่อมีส่วนประกอบครบ ให้ทำการรวมเป็น .zip เท่านั้น (เพราะ vtiger CRM ไม่รองรับไฟล์ชนิดอื่น)
จากนั้นนำไฟล์ import เข้า vtiger CRM โดยไปที่
Setting > Module manager > Import Module

ในการ customized บางกรณีจำเป็นต้องแก้ไขใน database ค่ะ

สำหรับวิธีที่พี่เค้าทำกันในตอนนี้คือ เอา code มาแกะแล้ว edit เอา //ตอนที่ทำโปรเจคก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน เพราะว่า คู่มือที่สอนเบื้องลึกจริงๆในเรื่องนี้ยังหาไม่ค่อยได้เลยค่ะ


ได้อัดวีดีโอไว้ส่วนหนึ่งค่ะ ก่อน Battery ของกล้องจะสิ้นชีพในหน้าที่ T T


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

14:30 @ ห้องประชุมใหญ่(201)
MongoDB ทำไมpantip.comจึงใช้NOSQL (TH) [Pantip 3G team]

พี่เค้าเล่าถึงข้อดีของ MongoDB ค่ะ 


Agile and Scalable
- scalable
- high-performance
- open source
- document-oriented database
- Written in C++

Document-oriented storage »
JSON-style documents with dynamic schemas offer simplicity and power.

Full Index Support »
Index on any attribute, just like you're used to.

Replication & High Availability »
Mirror across LANs and WANs for scale and peace of mind.

Auto-Sharding »
Scale horizontally without compromising functionality.

Querying »
Rich, document-based queries. //Query ได้ document มาเป็นก้อนๆ ไม่ต้องทำการ join (เหมือน MySQL) แต่อาจเสียเรื่อง normalization เพราะต้องทำเป็น batch file

MySQL        MongoDB
Database      Database
Table             Collection    //หลายกระทู้
Row               Document   //กระทู้

Fast In-Place Updates »
Atomic modifiers for contention-free performance.

Map/Reduce »
Flexible aggregation and data processing. //map data เป็นก้อนๆต่อกัน

GridFS »
Store files of any size without complicating your stack. //เก็บ file ลง stack แบบที่ข้อมูลไม่ซ้ำ

Commercial Support »
Enterprise class support, training, and consulting available.




MongoDB
-จะใช้ server มากกว่า 1 ตัว (Master-Slave) เมื่อ Master มีการ Down ไป Slave จะขึ้นมาทำงานแทนภายใน 0.1 วินาที  หรือ ใช้การเก็บข้อมูล(กระทู้) sort ตาม เลขคู่ หรือ เลขคี่ แล้วเข้าคนละ server
-สามารถเพิ่ม field ได้เลย ไม่วุ่นวายเหมือนกับ MySQL
-ทำงานง่ายกว่า คล้ายกับการ copy-paste แต่ถ้าทำผิดทีเดียว ก็บึ้มทั้งงาน!
-มีการทำงานที่รวดเร็วเพราะทำงานบน RAM
-ไม่ควรใช้ server เถื่อน ควรมี Master-Slave เอาไว้ดีกว่า
-สำหรับ data ที่มีความสำคัญ ควรใช้การ insert through ไม่ใช่แค่ write ลง RAM
-100,000 documents / 2 sec. ในการ write เก็บลง RAM
-ถ้าใช้การ write through อาจใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการเก็บ ก็ต้องพิจารณากันเอาว่า ข้อมูลมีความสำคัญขนาดไหน
-foursquare ก็ใช้ MongoDB

ศึกษาเพิ่มเติมที่ http://www.mongodb.org/ ได้ค่ะ

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

15:20 @ 303
เอาตัวรอดในเหตุภัยพิบัติ แบบ Geek Geek [@racpong]

กว่าจะปีนบันไดขึ้นมาได้ ก็เลยเข้า session นี้ช้าไปหน่อยนึงค่ะ ><  มาสรุปคร่าวๆ เท่าที่ฟังทัน เรื่องของการเอาตัวรอดยามเกิดภัยพิบัติกันค่ะ

Be Prompt
- Get a grip
- Call for help
- Emergency Check List
- Help yourself

Biggest IT Problem is power supplement
- Car charger, Car Battery, Power transformer
- Oil Supply
- Reserve Battery
- Always maintenance your power supplement

Emergency radio
- VR 145.000 (ถ้าประเทศไทยใช้ 144.900)
- CB Ch.9 (27,065 MHz)
- Aircraft ใช้ 121.5 MHz แต่ถ้าเป็น Military aircraft จะใช้ 243 MHz
- NOAA weather channel บอกอุบัติภัยที่มีแล้วส่งไปยังดาวเทียม
- Open the radio ให้เปิดรับสัญญาณเอาไว้ตลอด ถ้าคุณมีวิทยุสื่อสาร
- SSTV เป็นการส่งข้อมูลภาพผ่านเสี้ยงสัญญาณ โดยเอาสัญญาณมาจาก NOAA Channel แล้วเอาสัญญาณเสียงมาแปลงเป็นภาพ ซึ่งคุณภาพเสียงมีผลต่อคุณภาพของภาพเช่นกัน ... พวก NASA ก็มีการใช้วิธีการนี้

Emergency Signal
- SOS: . . . _ _ _ . . .
- PAN PAN: ใช้กับพวกเครื่องบิน,เรือ (ยานพาหนะ)
- MAYDAY: ดูวิธีการใช้จากภาพด้านล่างนะคะ


ในกรณีที่ต้องการความช่วยเหลือ ให้ใช้ "กระจกเงา" ส่องตามเครื่องบิน หรือ ฮ. (นอกเหนือไปจากการใช้ระเบิดควัน หรือ การก่อไฟ)

Stay Survive
- ช่วยตัวเองและครอบครัวก่อน (ที่จะไปช่วยคนอื่น)
- คุยกับเพื่อนที่ประสบภัยด้วยกัน เพื่อ support ใจตัวเอง
- ให้คิดในแง่บวกไว้เสมอ (แม้ว่ามันจะทำยากก็ตาม)
- Talk and Plan
- Give up mistake ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแย่ซ้ำเรื่อยๆหรอก

Nuclear Bio-hazard chemical war
-keep away, don't touch
-อยู่ในที่ๆปลอดภัย เช่น "บ้านของตัวเอง" ไม่ควรใช้ น้ำประปา เพราะมีแหล่งที่มาจากนอกบ้าน แต่พวกไฟฟ้าสามารถใช้ได้
-Close wearing Cloth
-Specific Response Disaster
-Nuclear ธรรมดาน่ากลัวน้อยกว่า Bio chemical เพราะมันระบาดได้รวดเร็ว
-ใช้ผ้าหนาๆในการปิดหน้า แต่ไม่ควรใช้ ผ้าชุบน้ำ เพราะว่า แบคทีเรียบางตัวสามารถซึมน้ำได้

Cool Down and Await หลังจากที่ขอความช่วยเหลือไปแล้ว เพราะคนอื่นเค้าอาจจะเดือดร้อนกว่าเรา

การทำ CPR ในปี 2010 เปลี่ยนจาก ABC เป็น CAB
- Circulation เช็คชีพจร, การเต้นของหัวใจ
- Airway เช็คว่าทางเดินหายใจโล่ง
- Breathing เช็คว่ายังหายใจอยู่
การช่วยชีวิตต้องทำภายใน 3 นาทีทอง จะมีโอกาสรอดสูง แต่หากเวลาผ่านไป 30 นาที อาจม่องเท่งได้

Pre Disaster
- twitter เป็น fastest warning sign
- 50% ขึ้นไป Fake FW BBM or Email
- IT มักจะพัง ควรจะ Learn to basic
- Learning ก่อนที่จะเกิด situations

การกักตุนอาหารยามเกิดภัยพิบัติ
2 weeks เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกักตุนอาหารในช่วงเกิดภัยพิบัติ แต่ถ้ามากกว่า 2 weeks ควรหา เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆเตรียมเอาไว้ด้วย <--เอาไว้ปลูกเหรอคะ? อันนี้แอบไม่เข้าใจ

เวลาน้ำท่วม สิ่งที่ควรกระทำ
- หนีขึ้นที่สูง
- ทำตัวให้แห้งไว้เสมอ ไม่งั้นจะโดนเชื้อรากินเอาได้

Twitter ที่ควร Follow
@paipibat @js100 <--คิดอะไรไม่ออก เอาอันนี้ไว้ก่อน เพราะเครือข่ายเยอะสุด ทำให้กระจายได้เร็ว


ที่สำคัญเวลาเกิดภัยพิบัติ เราต้องคิดบวกเสมอ ค่ะ

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

16:10 @ 304
HR มองอะไร IT [@nongpoy (pro one)]

รอจนเวลาผ่านไปเกือบ 15 นาที แต่ก็ไม่มีคนมาพูดเลยค่ะ ทั้งๆที่มีคนมาฟังมารออยู่พอตัว รอนานๆก็เบื่อ แถม @pintoung ยังโทรมาบอกว่าอยู่ห้อง 201 เป็นเรื่องถ่ายภาพอีก ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนห้องดีกว่า~


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

16:10:00 ห้องประชุมใหญ่(201)
จาก Developer มาเป็น Photographer [@FordAntiTrust]

มาถึงตอนที่พี่เค้ากำลังพูดเรื่องความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง developer กับ photographer ก็เดินย่องๆเข้าไปนั่งด้านหลังแหละค่ะ กลัวจะเป็นการรบกวนพี่เค้า เพราะว่าเราเข้ามาซะช้าเลย >//< พอเข้ามานั่งปุ๊บ สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกเลยคือ 95% ของคนฟัง เป็นเพศชายค่ะ!! = = เรามาผิดที่ปะเนี่ย T T

developer มีค่า cost ตั้งต้นน้อยกว่า photographer กับพวก designer เพราะถ้าเป็น developer ก็อาจจะมีแค่ค่าโนตบุค แต่ถ้าเป็นตากล้อง ต้องเจอทั้ง ค่ากล้อง ค่าเลนส์ ค่าคอมพิวเตอร์ ค่าซอฟท์แวร์ที่เอาไว้แต่งภาพ(ถ้าใช้ของเถื่อน อันนี้ก็ไม่ต้องคิดราคา 55) พี่เค้าบอกว่า กว่าจะค่อยๆเปลี่ยนตัวเองได้ก็ลำบากเหมือนกัน แม้ลักษณะการทำงาน อาจจะมีอะไรที่คล้ายๆกันระหว่าง developer กับ photographer แต่ก็ต้องมีการเรียนรู้กันใหม่เยอะ!!!

 

พี่เค้าดูเหมือนจะไปถ่ายงาน motor show อยู่บ่อยๆ (ถ่ายพริตตี้นั่นแหละ, เคยจีบพริตตี้ด้วย--ดูเป็นเรื่องธรรมดาของตากล้องเพศชายสินะ 55 อ๊ะ ไม่ได้ว่าพี่นะคะ หมายถึงคนทั่วๆไป :P) เวลาไปถ่ายงานแบบนี้ พี่เค้าจะไม่ค่อยใช้ flash ถ้าไม่จำเป็น เพราะว่า flash ระยะ 5 m. ถ้าลองยิงเข้าตาบ่อยๆ ทั้งวันทั้งคืน มันเป็นอะไรที่โหดมาก (เป็นความใส่ใจของพี่เค้าค่ะ ก็จริงแหละ โดน flash ยิงตา ตามันจะบอดตาย - -") ให้ลองใช้ ISO ประมาณ 800 ก็ได้อยู่

พี่เค้าเล่าให้ฟังถึงเรื่องค่าตัวนางแบบ เริ่มต้นตั้งแต่ 2,500 - 3,500 บาท (หรือถึง 8,000 บาทก็มี) โดยที่ตากล้องต่อทริปจะไม่เกิน 7 คน แต่ถ้าเป็นแนว sexy หรือพวก FHM แล้วก็มีชื่อเสียงหน่อย จะตก 20,000 up! โหย...ราคาโหดมากอะ = ="

ทริปถ่ายภาพ ควรจะ
-Check สถานที่ เช่น เป็นห้องเล็กๆ หรือเป็นร้านกาแฟ (ก็มีค่าเช่าต่างกันไป)
-หาแสงธรรมชาติ ดีกว่าการใช้ flash เพราะมันทำให้ดูมีมิติ มีลูกเล่นมากกว่า
-มีคนมาถ่ายกับเรากี่คน (บางทีอาจจะมีการขัดใจกัน) พี่เค้าเล่าให้ฟังว่า เคยเจอตากล้องที่เป็นผู้หญิงด้วย ก็มาถ่ายผู้หญิง(นางแบบ)นั่นแหละ แต่เห็นไม่กี่คน เคยเห็นอยู่สองสามคน <--อยากเจอพี่ๆตากล้องสาวจัง 55

พี่เค้าให้ข้อสังเกตมาว่า เวลาไปเที่ยวก็ไป อย่าเอากล้องไปเยอะ! ให้เอาไปพอประมาณได้ ให้คิดก่อนว่าไปจะ tripถ่ายรูป หรือไปเที่ยวกันแน่ เพราะถ้าไปเที่ยว แต่เอาของไปเยอะ!!! เวลาที่อยู่กับคนรอบข้างจะน้อยลง แล้วก็จะทำให้การเที่ยวครั้งนั้นไม่สนุก :(

มีคนฟังถามว่า ประเด็น "ตากล้อง vs นักท่องเที่ยว/คนเข้าชมconcert ใครควรจะมีสิทธิมากกว่า"
พี่เค้าว่า ควรจะแบ่งปัน แล้วก็ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ตากล้องมาอยู่รอนานกว่า นักท่องเที่ยวก็ควรจะให้เค้าถ่ายก่อน ส่วนตากล้องพอถ่ายเสร็จ ก็ควรให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้ามาในพื้นที่บ้าง <--อันนี้เห็นด้วยค่ะ ตามความเห็นส่วนตัวแล้วก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้มันจะน่าเอามาเป็นประเด็นตรงไหน = =" สถานที่มันก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของซะหน่อย

การถ่ายภาพ landscape : ตั้งใจแบบไม่ตั้งใจ มักจะสวย <--แบบนี้เค้าเรียก art ปะคะพี่
การถ่ายภาพ portrait : เจาะจงตัวแบบ พยายามอย่าให้ติดคนอื่น(พี่เค้าเรียกว่า ผีหลังกล้อง ค่ะ)
การถ่ายภาพกับสระว่ายน้ำ : ถ้าแดดแรง รีเฟลคก็จะเยอะมาก ให้หาอะไรมาสะท้อนแสงกลับไปซะ! หรือการเพิ่ม speed shutter ก็ได้ แต่จะทำให้วิวไม่สวย

-เวลาถ่ายภาพ ตอนที่เรานับ 1 2 3 แชะ ให้เปลี่ยนเป็น 1 2 3 4 แล้ว แชะแทนค่ะ จะได้feelสบายๆมากกว่า :)
-ถ้าให้นางแบบ post ท่า ควรให้เป็นรูปสามเหลี่ยม <--ทำยังไงอ่า > <"
-พี่เค้าจะพยายามเล่นกับเส้นในรูป ทำให้ภาพดูมีมิติขึ้น โดยให้เส้นวิ่งเข้าหาตัวแบบ <--แบบนี้เราก็ชอบเหมือนกัน
-ให้ใส่ใจท่าทางการ act ของตัวแบบด้วย เช่น การถือของ การวางเท้า <--การถ่ายภาพควรจะใส่ใจทุกรายละเอียดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบบ หรือสิ่งแวดล้อม

session นี้กินเวลานานกว่าปกติค่ะ เพราะว่าตอนท้ายหลังจากจบ slide ที่พี่เค้าเตรียมมาเรียบร้อยแล้ว พี่เค้าก็เปิดกรุรูปภาพให้ดู ... ภาพนางแบบทั้งนั้นเลยอะ 555 คนดูแต่ละคนนี่จ้องตาไม่กระพริบ! :P ก็บอกแล้วว่า session นี้เพศชายทั้งนั้น - -" แต่พี่เค้าก็ถ่ายสวยจริงๆแหละค่ะ จัดวางองค์ประกอบภาพสวย นางแบบพี่เค้าก็สวยด้วย >//< เอาจริงๆอยากดูภาพวิวมากกว่า แต่ดูเหมือนประชากรส่วนมากของห้องนี้จะชอบภาพนางแบบค่ะ (รวมถึงคนที่ถือไมค์อยู่ห้องห้อง ก็คงรับรู้กระแสความอยากดูภาพนางแบบได้ พี่เค้าเลยเปิดให้ดูใหญ่) 

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

จบแล้วค่ะ งาน Barcamp Bangkhen ครั้งที่ 2 

ถ้ามีโอกาส กลับมาเจอกันใหม่นะคะทุกคน ^ ^



ปล. เป็นการเขียน Blog ที่เปลืองพลังงานมากๆเลยค่า :P

ความคิดเห็น

  1. [PhoneGap‏]
    Mobile dev framework
    - html5
    - css 3
    - javascript
    - ใช้ native function ได้
    - camera, location, sensor, notification, สั่น
    - รองรับทุก OS
    - ทำงาน background ได้ใน Android
    - ใช้ cloud compiler (beta)
    - QR code, AR
    - QWT Mobile, jQuery Mobile
    - ใช้ผ่าน Dreamweaver ได้
    - www.phonegap.com
    ==========================================
    [10 things to improve productivity‏]
    - เปิดใจ
    - นอนให้พอ 8 ชม
    - วางแผนก่อนจะทำอะไรวันนี้
    - เอาสิ่งที่รบกวนการทำงานออก เขียนเวลาที่เสียไปแล้วรวมดูว่าเสียเวลาไปรวมแล้วเท่าไหร่
    - plan your to do list
    Avoid breaking deadline
    - get start คิดก่อนว่าต้องทำอะใรบ้าง จัดกลุ่มเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว แบ่งงานออกเป็นแต่ละ action ของงาน
    - chart ต้องขึ้นด้วย verb
    - manage list ที่เราเขียน ใส่ลำดับความสำคัญลงไป
    - plan งานเป็นราย weekly
    - เช่น ทำ daily report
    ใส่ % ให้งานที่ยังไม่เสร็จวุทำไปแล้วประมาณกี่% (กำหนดไว้เลยว่ากี่% คือเท่าไหน)
    - กฏ 48/12
    1 hour = 60
    48 for work only
    12 for break
    - ทำ mind mapping เปลี่ยนจากการจดเป็นภาพ ใช้ปากกาหลายๆสีตามความสำคัญ
    (โปรแกรม Xmind)
    - การวิเคราะห์ และเปรียบเทียบ จะรู้ว่าอะไรเยอะหรือน้อยได้ ต้องเอาไปเทียบกับอะไรสักอย่างก่อน เช่นเทียบกับอดีต
    - hypothesize driven ตั้งสมมติฐาน อย่าเดา วิเคราะห์ แล้วระบุปัญหาให้ได้
    - การทำ presentation อย่าใส่แต่ข้อความแล้วมายืนอ่าน

    1 สไลต่อ 1 message ที่ต้องการบอก เอาแต่เนื้อๆ

    การพรีเซนเลขเยอะๆ ให้ใช้กราฟ เพราะจะเห็นความแตกต่าง

    ปกติคนจะมองจากซ้ายบนลงขวาล่าง แบบตัว Z

    - การเขียน report

    ต้องดูก่อนว่าคนอ่านเป็นใคร ลองให้เพื่อนอ่านว่าอ่านแล้วเข้าใจไหม

    ลำดับสองต้องดูกลุ่มคนที่ต้องตัดสินใจ

    เลือกหัวข้อที่น่าสนใจ

    เขียนให้ชัด อย่ากำกวม ถ้าต้องการขอให้ระบุไปเลยว่าต้องการเมื่อไหร่

    - share information เช่น morning talk ใครทำอะไร มีงานเกี่ยวกับเราไหม มีอะไรขอโทษเลย รู้อะไรมาก็แชร์ๆ ไม่ต้องเฉพาะเรื่องงาน

    - thanks, please, sorry พูดให้ติดปาก

    - เวลาทำงานมองเป็นทีม จะดีไม่ดี ก็ดูเป็นกลุ่ม

    Those that know, Do.
    Those that understand, Teach.
    Aristotle

    ==========================================
    [การออม‏]
    - ออมทรัพย์ ดอก 0.75% เสียภาษีอีก 15% ของดอก ได้น้อยมาก แต่ความเสี่ยงแทบไม่มี
    - ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล 2-4% ความเสี่ยงต่ำ
    - ตราสารทุน(หุ้น) 10-30% ความเสี่ยงสูง หุ้นซีเอดไม่ค่อยเสี่ยง หุ้น VI, central, 7-11,
    - ทองคำ 30% ความเสี่ยงสูง

    by @earnz

    ตอบลบ
  2. ส่วน comment นี่น่าเอาไปใช้ที่สุดแล้วมั้งเนี่ย ^^'

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์ตรงกับการโดน Facebook บังคับเปลี่ยนชื่อ ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "รอ"

สองชั่วโมง สองที่เที่ยว ด้วย เรือหางยาว เจ้าพระยา

น้องนีโม่ กับ โรคฉี่หอม