วังเวียง (ไม่) วังเวง

8 - 10 ธ.ค. 55

นับเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านอีกครั้ง ไม่ใกล้ไม่ไกล ไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้ามแม่น้ำโขงไปก็จะเจอกับ 

ສປປລາວ (Lao P.D.R.)

สำหรับทริปคราวนี้วางแผนล่วงหน้ากันเป็นเดือน ต้องจองเครื่องบิน รถตู้ ที่พักและทำเรื่องอะไรอีกหลายๆ อย่าง มีทริคนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่มี passport แต่อยากข้ามไปเที่ยวเมืองลาวในช่วงเวลาสั้นๆ สามารถเลือกใช้ใบผ่านแดนแทนได้ แต่ค่าใช้จ่ายโดยรวมก็จะแพงกว่าคนมี passport นิดหน่อย

เนื่องจากเที่ยวบินที่จองไว้ เป็นรอบ 7 โมงเช้า (จะได้เที่ยวเยอะๆ) จึงต้องขุดตัวเองให้ลุกจากที่นอนตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง = =)zzZ (ตื่นเช้ากว่าไปทำงานอีก) ออกจากบ้านก่อนตี 5 เพื่อจะไป check-in ให้เรียบร้อย

พร้อมลุยแบบง่วงๆ จ้า
ตายังไม่เปิดดีเลย ง่วงนอนแท้เหลา
เพราะจะปิดเคาน์เตอร์เช็คอินก่อนเครื่องออก 30 นาที เราเลยต้องมาแต่เช้าอย่างไงล่ะ
และแล้วเราก็ได้มันมา :)
เมื่อทำการ check-in เรียบร้อยก็ได้เวลาเคลื่อนที่ไปยัง Gate ที่เราจะมุ่งหน้าสู่อุดรธานี สำหรับทริปคราวนี้เราเลือกใช้บริการของการบินไทยค่ะ

บรรยากาศตอนเช้าๆ ที่สุวรรณภูมินี่ช่างวังเวงดีแท้
ก่อนเครื่องจะออกต้องเข้าไปดูห้องน้ำของที่นี่ซะหน่อย (ความจริงคือปวดท้อง -*-) ห้องน้ำใหญ่เวอร์ดี (ถ้าเทียบกับดอนเมืองนะ) สะอาดและเงียบสงบมาก

มีดอกไม้ในห้องน้ำด้วย ของแท้นะ ลองจับมาแล้ว 55+
กลับไปนั่งเบื่อๆ รออยู่ที่ Gate แบบว่าเปิดประตูช้าจริงๆ ระหว่างนั้นก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเล่นนะฮะ ฮี่ๆ

เผลอแป๊บๆ น้องสาวตัวโตกว่าข้าพเจ้าซะละ -3-
มีทีวีให้ดู แต่ตู้ cat ที่ให้เล่นเน็ตได้ มันพังทั้งสองอันเลย (บ่นๆ)
แล้วเราก็ได้ขึ้นเครื่องบินกันซะที

พร้อมนอนแล้วจ้า
อยู่บนอากาศซักพักก็มีของมาให้กิน (กำลังหิวเลย) //ท้องร้อง

หมอนกับกล่องขนมน้อย
กล่องเล็กๆ แต่ก็กินไม่หมดอยู่ดี - -"
ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงสนามบินอุดรธานีจนได้ (ยังหลับไม่เต็มอิ่มเลยอะ)

มารับกระเป๋าที่ช่อง 2 บรรยากาศสงบๆ ไม่วุ่นวาย (มันยังเช้าอยู่สิินะ)
หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อย เราก็ได้รถตู้จากเมืองลาวมารับถึงที่ (พวงมาลัยซ้าย) กองทัพย่อมต้องเดินด้วยท้อง ตอนเช้าๆ แบบนี้ต้องหาอะไรลงท้องกันซะหน่อย เราเลือกร้าน "คิงส์โภชนา" ถือเป็นร้านใหญ่ ร้านดังของเมืองอุดรธานีด้านอาหารเช้าเลยทีเดียว

ชอบกินขนมปังแบบนี้ที่สุดเลย แอร๊ยยยยยย
สตูซี่โครงหมูอ่อน
ไข่กระทะ เครื่องไม่ต้องเยอะ แห้งกรอบ ไม่มัน ไม่เลี่ยน
ข้าวสวย หมูยอทอด
แถมน้ำชาด้วยแหละ
แล้วก็ได้เวลางีบประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเดินทางจากอุดรธานีไปหนองคาย

มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว
กำลังจะหนีจากประเทศไทยแล้วน้า
ต้องรอซักพักระหว่างทำเรื่องขอผ่านแดน
โอ๊ะโอ่ ปตท. เราไปเปิดสาขาที่ลาวด้วย
ผ่านด่านไทย ด่านลาว แล้วเราก็เข้าสู่เมืองลาวอย่างแท้จริง ทริปคราวนี้ มีไกด์สาว(พี่น้อย) กับตำรวจท่องเที่ยวเมืองลาว(พี่แก้ว) ร่วมเดินทางด้วย ที่มีตำรวจไปด้วย เค้าให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ข้ามแขวง(เมือง) อยู่เที่ยวแค่เวียงจันทร์ก็ไม่ต้องมี แต่ถ้าข้ามไปวังเวียงแบบนี้ต้องมี เพื่อความปลอดภัย อำนวยความสะดวก (หรือไปจับตาดูเรากันแน่นะ?)

อาหารเช้าได้ไม่นาน ก็มาจัดอาหารกลางวันที่ริมน้ำโขง (ฝั่งลาว)

ภัตตาคารแม่โขง 1
ไข่เจียวเค้าบางเวอร์อะ
ผัดเผ็ดอะไรซักอย่าง เผ็ดมากๆ 
ผักเค้าสดดีนะ มีใบนึงเป็นผักวาซาบิด้วย กินแล้วขึ้นสมองจี๊ด 
ปลาอร่อยมากๆ 
ต้มซุปใส่พริกเผา // มันไม่ใช่ต้มยำนะขอบอก
ผัดผักที่นี่อร่อยนะ
เห็นฝั่งโน้นไม๊ นั่นประเทศไทยล่ะ 
บรรยากาศริมน้ำโขง เงียบสงบดีจัง
เมื่อท้องอิ่มแล้ว (บางทีก็อิ่มเกินไป) ก็ไปชม"ประตูชัย"ของเมืองเวียงจันทร์กันเสียหน่อย ไปเดินผ่านๆ เผื่อว่าจะมีโชคมีชัยกับเค้าบ้าง (มันใช่เหรอ)

พวกเราเดินทางมาถึงเวียงจันทร์แล้วนะฮ้าบ :D
เก้าอี้มีให้นั่งดีๆ ก็ไม่นั่งกันเนอะ XD
ประตูชัย มองใกล้ๆ แล้วอลังการดีจัง
ขอบประตูชัย
เพดานด้านในประตูชัย

จากนั้นก็ไปสักการะพระธาตุหลวง ของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเวียงจันทร์ สังเกตว่าลักษณะจะคล้ายๆ กับพระธาตุพนมของเมืองนครพนม พี่ไกด์เล่าว่า สร้างในช่วงใกล้ๆ กันเลยล่ะ


เดินเวียน 1 รอบก็เหนื่อยแล้ว (แดดร้อนมาก)



ทีนี้ก็ได้เวลายิงยาวเข้าสู่วังเวียงกันแล้วค่า ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงกว่าๆ ด้วยทางที่อย่างขรุขระ ขึ้นเขา หัวโยก ยึกๆ ความรู้สึกเหมือนกำลังไปแม่สะเรียง (แม่ฮ่องสอน) รวมกับไปสังขละบุรี (กาญจนบุรี) แต่เราว่า ถนนประเทศเราดีกว่าเยอะ - -"

มาแวะพักข้างทาง น่าจะกลางๆ ทางแล้วแหละ ต้องใช้หลักการเดาเอา เพราะป้ายบอกทาง หลักกิโลก็ไม่ค่อยจะมี ถึงบางทีโผล่มาให้เห็นก็อ่านไม่ทัน ใช้เวลาประมวลผลนานเกิน (ก็มันไม่ใช่ภาษาไทยนี่หว่า) ห้องน้ำที่นี่เก็บค่าเข้า 10 บาท แลกกับห้องน้ำสะอาดที่มีกลิ่นน้ำหอมฟุ้ง (กลิ่นเหมือนน้ำยาปรับผ้านุ่ม)






หลังจากยืดเส้นยืดสาย พร้อมกับบางคนที่ได้ ເບຍລາວ (เบยลาว) ติดไม้ติดมือกันคนละกระป๋อง


ก็ได้เวลาขึ้นรถตู้ไปนั่งโยกเยกกันต่อ จนมาถึงโรงแรมที่พักจนได้

โรงแรมวิไลวงศ์ (ถ้าเขียนแบบไทยน่าจะเขียนแบบนี้นะ)
ใกล้ๆ ห้องพักมีรังผึ้งยักษ์อยู่ด้วย - -"
มองลงไปด้านล่างจะมีบ้านพักเป็นหลังๆ ด้วย
เข้ามานอนกลิ้งในห้องแล้วมองออกไปด้านนอก



พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ความเงียบสงบก็คืบคลานเข้ามา
จากนั้นก็ได้เวลาอาหารเย็น (กินอีกแล้ว)



ปลาทอด ราดซอสพริก (ล่ะมั้ง)
ไก่ทอดกระเทียม (อันนี้อร่อย)
ต้มยำไก่บ้าน 
ผัดเปรี้ยวหวาน 
ไข่เจียวบางๆ อีกแล้ว
ผัดผักน้ำ ลักษณะคล้ายๆ ผักบุ้งแต่กรอบกว่า

หลังจากท้องอิ่มก็ได้เวลาเดินชมเมืองยามค่ำคืน ร้านค้าแุถวนี้เป็นร้านค้าสบายๆ ของก็เหมือนๆ บ้านเรา แถมดูฝุ่นจับด้วย (บางร้าน) ที่เห็นเยอะคงเป็นร้านอาหาร นั่งกิน นั่งดื่มมากกว่า เดินไปเดินมาเจอแต่ฝรั่งกับคนไทย จะว่าไปก็คล้ายๆ เมืองปายเราอยู่เหมือนกันนะ





แต่ร้านที่ดึงดูดใจเราที่สุด ต้องเป็นร้านนี้เลย >_______<





แล้วเราก็ได้คุกกี้ชอคโกแลตชิพมาครอบครอง 1 ชิ้นยักษ์  12,000 กีบ 
อ๊ะ ต้องหมายเหตุไว้ก่อน 1 บาท = 250 กีบ เพราะงั้น 12,000 กีบก็ 48 บาท ถือว่าโอเคเลยนะ ราคาไม่แพงเท่าไหร่

หลังจากเดินเล่นแป๊บๆ ก็ครบตรงส่วนนั้น ก็กลับไปพักผ่อนเพื่อเก็บแรงลุยต่อในวันรุ่งขึ้น!

อยู่ในมุ้งแล้ว ^^
เช้าวันที่ 9 ธ.ค. 55

เช้าแล้วจ้า
ข้าวผัดหมู
เช้าแล้วขอซักรูปนะฮิ
ไข่ดาว ที่มีไข่แดงแฝด 
ขนมปังกระเทียม อบร้อนๆ จากเตา กระเทียมมาเป็นชิ้นๆ = =
ได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว!!


มาเริ่มกันที่ตลาดเช้าของเมืองวังเวียงกันเลย

เค้าเรียกกันว่า ฮวก (มันคือลูกอ๊อดอะ)

ตลาดเช้าวังเวียง ราคาของก็พอๆ กับบ้านเรา แต่ลักษณะจะเหมือนตลาดเช้าของต่างจังหวัด

เค้าบอกว่ามันเป็นยาสมุนไพร

เขียงมีขา อยากได้มาก แต่ไม่รู้จะเอาขึ้นเครื่องกลับมายังไง - -"

เราคิดว่ามันน่าจะเป็นมะระ (ล่ะมั้ง)
มะเขือเค้าสีสวยมาก ลายก็สวย
มะละกอยักษ์ ตีหัวแตก
ฟักยักษ์ กินได้หลายวัน - -"
ซาก!!! ก็ยังเอามาขายกัน
น่าจะเป็นลูกนก (ดูจากเท้า)
ตัวอะไรไม่รู้ น่าสงสารมาก มันกำลังจะถูกกิน T^T เหมือนตัวนี้ราคาจะหลายแสนกีบ
ลูกอะไรก็ไม่รู้ แปลกดี
หนูตายก็มีนะฮะ - -"
คุณป้ากับขนมปังฝรั่งเศสใส่ไส้เข้าไป ออกมาเหมือนกัน ฮอตดอกของฝรั่ง
กระติ๊บข้าวเหนียวยักษ์
ขนมปังฝรั่งเศสที่นี่เค้าวางขายกันเป็นกองๆ แถมชิ้นนึงก็ใหญ่ชะมัด lol
หลังจาก shopping (ผลไม้) กันเรียบร้อย เราก็เดินทางไปที่วัด(ที่ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้) และวิวที่มองไปเห็นผาตั้ง และเช่นเคยถนนที่ไปกระโดดดึ๋งๆ มาก พี่ไกด์บอกว่า นี่เป็นทางที่จะขึ้นไปยังหลวงพระบาง ใช้เวลา 12 ชั่วโมงได้ - -" นั่งรถด้วยสภาพแบบนี้ครึ่งวัน ไม่ไหวนะฮ้าบบบบบบ

มาถึงวัดแล้วจ้า
เพดานสวยมากเลย
แหกตาสามัคคี 1
แหกตาสามัคคี 2 (ข้างหลังเป็นผาตั้งล่ะ)
ผาตั้งและสายน้ำ
เงียบสงบจริงๆ เมืองนี้
เดินเล่นกันสักพักก็ได้เวลากระโดดดึ๋งๆ กลับไปทางเดิม ขากลับเราแวะกันที่สวนทุเรียน แต่ไม่มีทุเรียนหน้านี้ - -" ก็เลยได้วิวสวยๆ มาแทน






น้ำผลไม้รวมปั่น ผลไม้ปั่นจริงๆ ไม่ใส่อย่างอื่นเลย แม้แต่น้ำแข็ง o []  O!!

กาแฟของท่านผู้ใหญ่
แป๊บๆ ก็ได้เวลาอาหารกลางวันอีกแล้ว ฮิฮิ
สะพานข้ามฝั่งจากตัวเมืองหลักไปเกาะ เที่ยวละ 20 บาท (คนตัวเปล่าๆ เนี่ยแหละ) ถ้าเป็นรถแพงกว่านี้อีก!

ร้านอาหารริมน้ำเก๋จะตาย :P
ซี่โคงหมูทอด อร่อยมากฮะ
ปลานึ่งมะนาวอีกแล้ว แต่ร้านนี้อร่อยนะ
หมูผัดขิง
ผัดผักรวม
ต้มแซ่บไก่ (ไก่อีกแล้ว)
ส้มตำ (แซ่บมากฮะ)


ปล. ร้านอาหารนี้เปิดเพลงไทยให้ฟัง พี่ไกด์บอกว่า ในขณะที่คนไทยบ้าเพลง/ศิลปินเกาหลี คนลาวกลับชื่มเพลง/ศิลปินคนไทย...

ใกล้ๆ กับที่พักของเรามีต้นมะพร้าวสองยอดด้วยนะ ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ดูมันไม่ค่อยจะแข็งแรงเลย - -" (เป็นจุดเด่นของเมืองวังเวียงอีกอย่าง)
มะพร้าวสองยอด
มะพร้าวสองยอด
แล้วก็ไปต่อกันที่ถ้ำจัง

ก่อนจะเข้าไปถึงตัวถ้ำต้องผ่านสะพานสีส้มๆ นี่ก่อน เค้าบอกว่าเป็น Golden Gate เมืองลาว



มาถึงแล้ว "ถ้ำจัง" บันไดช่างชันแท้เหลา ;3

เดินขึ้นมาถึงกลางทางแล้วจ้า
ถึงด้านบนแล้ว เข้าไปไหว้พระด้านในกันเถอะ
พระในถ้ำจัง
หินย้อยในถ้ำ
ข้างในมืดแท้หนอ
วิบวับๆ
หินงอก หินย้อย
น่าจะเอาฉากนี้มาถ่ายหนัง 
ดูหลอนเบาๆ 
บันได 147 ขั้น
ตอนลงหัวจะทิ่มตาย - -"
ลงมาพักเหนื่อยด้านล่าง 
ชอบสีสันของธรรมชาติจริงๆ
ขนมครกเมืองลาว (เติมพลัง) ไม่เหมือนบ้านเราเลยซักนิด เหมือนขนมมัน ขนมต้ม อะไรหลายๆ อย่างรวมกัน
แป้งใบเตย แต่เหนียวๆ หนึบๆ ใส่ไส้เยอะๆ ไม่อร่อยอะ (หรือเราไม่ชอบก็ไม่รู้)
ขึ้นเขากันแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาลงน้ำ(ล่องเรือ)จ้า!!! เค้าเรียกกันว่า "เรือหางยาว" แต่นั่งได้แค่ 2 คน รวมคนขับเรืออีก 1 คนก็เป็น 3 คน // ช่างต่างจากเรือหางยาวบ้านเราชะมัด

วิถีชีวิตริมน้ำซอง


เค้าซักผ้าแหละ
เรือพ่อกับแม่กำลังแว๊นมา
นอนบนห่วงยางแบบชิวๆ
หาปลา
เรือคายัค
ตีคู่ 4 ลำ คนอื่นไม่ต้องวิ่งแล้ว ณ จุดนี้ แม่น้ำเป็นของเราทั้งหมด 555+
เจอฝรั่งพายมาหาเรือมาหา (มันใช่เหรอ 55+)
ที่ริมน้ำซอง ยังเป็นวิถีชีวิตชนบทโดยแท้ ยกเว้นอีกฝั่งที่จะมีโรงแรมที่พักโผล่ขึ้นมา
มีที่ให้เช่าเรื่อหางยาว คายัค ห่วงยางบ้างตามโลกที่เปลี่ยนไป

ทุกอย่างที่นี่ทำกันเป็น "สมาคม" เพราะฉะนั้นเรือทุกลำจะคิดค่าบริการเท่ากัน
เรื่องภาพถ่ายตามที่ต่างๆ ก็เหมือนกัน ภาพละ 80 บาท ไม่มีลด เค้าไม่ฆ่ากันเอง รัฐเค้าคุมอยู่หมด
ตากแดดตอนบ่ายไปซะเยอะ ขอเวลาไปนอนกลิ้งๆ ซักพัก ตอนเย็นๆ ก็ออกมาเดินดูเมืองซะหน่อย แล้วค่อยไปกินข้าวเย็นพร้อมกับดู The Voice!!!

อย่าแปลกใจ ทีวีที่นี่ใช้ True แบบไฮโซ มีช่อง HBO และรายการไทยทุกช่อง มีช่องของประเทศลาวอยู่สองช่อง คือเหมือนมาเที่ยวต่างจังหวัดไม่เหมือนมาต่างประเทศเลยสักนิด 

ปลาทอดกรอบๆ อร่อยจัง
ลาบเป็ด แซ่บโฮก
ซุปไก่ ที่คล้ายๆ แกงจืดฟัก
ผัดยอดมะระหวาน
ยำแตงกวา แต่เหมือน แตงร้านมากกว่า
ยำ(สลัด)ผักน้ำ(ไหล) ผักน้ำต้องปลูกในที่ๆ น้ำไหลเท่านั้น ไม่งั้นจะไม่โต
อิ่มแปร้เลย พร้อมกับผลการคัดเลือก The Voice ที่มี นนท์ ต๊ะ เก่ง คิง เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ไปเดินย่อยกันซะหน่อย กลับไปที่ริมน้ำซองตรงที่ขึ้นเรือหางยาว มืดตื๋อเลย


ด้วยความที่ประเทศลาว มีคนอยู่ประมาณ 7 ล้านคน (เท่ากับคนในกรุงเทพฯ เราเลยใช่ไหม) ธรรมชาติที่นี่ก็เลยยังดูเหลือเยอะ ไม่เสื่อมโทรมเท่าไหร่ ประชากรที่นี่ไม่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ร้านกาแฟสดข้างทางไม่ต้องพูดถึง ปั๊มน้ำมันยังแทบไม่มี

เงินเดือนของประเทศลาว จบปริญญาตรี ถ้ารับราชการก็ตีค่าประมาณ 2,500 บาท แถมไปทำงานปีแรกอาจจะไม่ได้เงินเดือนด้วยซ้ำ (แต่เค้าจะได้พวกของอุปโภคบริโภคพื้นฐาน เช่น น้ำปลา ข้าวสาร ฯลฯ) แต่ของใช้ส่วนมากก็นำเข้าจากประเทศไทย, จีน ทั้งนั้น ถ้าเป็นเอกชน เก่งๆ หน่อยก็ไม่เกิน 5,000 บาท ในขณะที่รายรับน้อย รายจ่ายที่ออกมากลับไม่ไปทางเดียวกัน ทุกอย่างแพงหมด จึงไม่แปลกใจที่ชาวลาวส่วนมากใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ หาปลากันเอง ตอนพักกลางวัน คนทำงานส่วนมากก็จะกลับมากินข้าวที่บ้าน ไม่กินข้าวนอกบ้าน

รัฐบาลที่นี่มีที่เดียว ไม่มีการเลือกตั้ง ไม่มีขัดแย้ง ไม่มีชุมนุมวุ่นวายเหมือนเรา ก็น่าแปลกใจที่คนลาวรับสภาพแบบนี้ได้ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ารัฐบาลของพวกเค้าปิดหูปิดตาประชาชนหรือเปล่า คงถูกปลูกฝังสอนกันมาตั้งแต่เด็กๆ มาลองสังเกตอีกทีก็จะพบว่า คนลาวไม่ค่อยออกไปทำงานนอกประเทศ ไม่เหมือนเขมรหรือพม่า

แม่พาลูกออกชายสองคนมาหาปลาตัวเ็ล็กๆ ไปประกอบอาหาร

วันสุดท้ายที่เมืองลาว (10 ธ.ค. 55) ตื่นแต่เช้า ล้อหมุนกันแต่เช้า (8.15) เพราะต้องเดินทางกลับกันแล้วจ้า

ฝั่งตรงข้ามที่พักมีโรงเรียนสอนครูด้วยแหละ เข้าแถวเพิ่งเสร็จเลย


หลังจากขึ้นรถไปได้สักพัก ก็ไปแวะดูตลาดปลา(แห้ง) อยู่ระหว่างทางกลับไปเมืองเวียงจันทร์ (แพงอ๊ะ!!!)




หนีจากตลาดปลา ข้ามถนนแบบมองซ้ายมองขวา มองขวามองซ้ายหลายๆ รอบ (กลัวรถชน เพราะที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทย เค้าขับรถไม่เหมือนเรา - -") ไปถ่ายรูปแพะภูเขาดีกว่า จะว่าไปที่ประเทศลาวเห็นแต่แพะนะ ไม่ค่อยจะเห็นสุนัขเลี้ยงเหมือนบ้านเราเลย ไม่รู้ว่าโดนจับกินไปหมดหรือว่า แค่เงินเดือนที่ได้ก็ไม่พอที่คนจะใช้ชีวิตได้แล้ว ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอีกคงลำบากแย่




ระหว่างทางได้แวะจอดปั๊มน้ำมัน เข้าห้องน้ำที่เมืองลาวทีไรเสียตังค์ทุกที -3- แถมไม่มี 7-11 ไม่มี amazon ไม่มีอะไรให้กินเลย คิดถึงเมืองไทยขึ้นมาตะหงิดๆ แต่ก็ดีอย่างนะ ประหยัดดี - -b




กำลังจะถึงตัวเมืองเวียงจันทร์ละ แวะกินข้าวกันก่อน แต่คราวนี้เราไม่ไปทางถนนอย่างเดียวแล้วนะ ต้องมีทางลัดข้ามแม่น้ำกันหน่อย ฮี่ๆ เอารถขึ้นเรือซะ!





มื้อสุดท้ายที่แม่น้ำ(งึม)หรืออะไรซักอย่าง ไหลออกไปบรรจบกับแม่น้ำโขง เป็นการกินแบบล่องแพ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่แถวเมืองกาญจนบุรีมากเลยจ้า

ทางเดินไปแพ 
สะพานข้ามแม่น้ำแควปะเนี่ย - -"
ผัดเผ็ดหมูป่า
ต้มยำปลาบึก
ส้มตำ เข้าใจว่าใส่ปลาร้าไม่ก็แมงดาซักอย่าง
ลาบปลา
ปลาแดดเดียวทอด
ผัดคะน้า(มั้ง)
ขาไปเค้าก็ใช้เครื่องยนต์อยู่นะ แต่พอขากลับก็ดับเครื่องแล้วปล่อยให้ไหลมาตามสายน้ำ ไปแบบชิวๆ ติดเครื่องบ้างเป็นบางที ที่กำลังจะชนตลิ่ง o { } O!!
วิวโดยรอบแพที่ล่องไป น้ำใสมาก
บรรยากาศในเรือแพ เบาะที่เหมาะแก่การกินแล้วนอนมาก
ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ในแม่น้ำก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ เผลอแป๊บๆ ก็กลับมานครหลวงเวียงจันทร์อีกครั้ง คนละบรรยากาศกับวังเวียงมาก เรียกง่ายๆ ให้เห็นภาพก็ ตัวเมืองกับบ้านนอกนั่นแหละ รถอย่างติด คนก็เยอะ แถมแม่ค้าในเวียงจันทร์พูดไทยกันได้หมดซะงั้นอะ พอเข้ามาถึงตัวเมืองได้ไม่นานก็ไปเอาตำรวจไปส่งคืนที่ที่เค้ามา เหลือแค่พี่ไกด์เท่านั้น

แวะร้านของที่ระลึก (คราวที่แล้วที่มาเที่ยวเวียงจันทร์ก็ร้านนี้) สงสัยจะไม่มีร้านอื่นแล้วมั้ง - -"

ของกระจุกกระจิก กำไล ต่างหู สร้อยคอ
เสื้อผ้า ผ้าทอ ผ้าพันคอ ฯลฯ
เครื่องเงินของแท้ต้องอยู่ในตู้เท่านั้นจ้ะ
ได้ของติดไม้ติดมือกันไปคนละเล็กละน้อย ของบางอย่างก็เหมือนทางเหนือบ้านเราอยู่นะ ยิ่งไปเที่ยวมาก ยิ่งรู้ราคา ยิ่งซื้อของยากขึ้นเรื่อยๆ >< 

ก่อนจะข้ามกลับมาเมืองไทย ก็ไปเดินเล่นที่ duty free ตาดีได้ตาร้ายเสีย ของ(ไม่)แท้เพียบ 55+ ตอนนี้ก็ได้เวลาบอกลาพี่ไกด์อีกคน จากนั้นก็ข้ามฝั่งกลับมาที่ประเทศไทย (ผ่านด่านตามสไตล์) ยิงยาวจากหนองคายมุ่งสู่อุดรธานี

จบทริปนี้ด้วยอาหารเย็นจาก ร้าน VT แหนมเนือง ตรงข้ามวัดโพธิ์ฯ (มาอุดรธานีคราวที่แล้วก็มีโอกาสได้กินร้านนี้เลยติดใจ :P)

ทำกันเป็นโรงงาน
กุ้งพันอ้อยแบบดิบๆ
ซื้อกลับบ้านก็ได้นะฮ้าบ
กุ้งพันอ้อย แบบกินได้แล้วจ้า
แหนมเนือง
ปอเปี๊ยะทอด
ลูกชิ้นอีสานทอด
แหนมซี่โครง
ปอเปี๊ยะสด
อิ่มมาก ตัวจะแตกกกกกกกกก
กินอาหารเย็นถึงประมาณ 18.30 น. ก็ต้องรีบกลิ้งตัวไปสนามบินกันแล้วจ้า ก่อนจะจากรถตู้คันนี้ไป ขอเก็บป้ายทะเบียนไว้เป็นที่ระลึกหน่อย

อ่านว่า กำแพงนคร นะจ๊ะ
บริษัท แก้วประเสริฐ รถเช่า และ นำเที่ยว
มาถึงสนามบินแล้วจ้า




ลงจากเครื่องแล้วจ้า ไปรับกระเป๋ากับแหนมเนือง คนเยอะโฮก...



รอเวลากระเป๋าลงมาน๊านนานแหละ ;3


แล้วก็ลากกระเป๋าขึ้น taxi กลับบ้านกันไปแบบสวยๆ ที่สนามบินสุวรรณภูมินั่นเอง เสียค่าบริการเพิ่มจากมิเตอร์ 50 บาท แต่ก็สบายดีนะ ขากลับรถก็ไม่ติด ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ

สนุกดีนะสำหรับทริปนี้ อาหารอร่อย อากาศไม่เย็นเท่าไหร่ ยกเว้นตอนเช้าๆ น่าจะประมาณ 23 องศา (ไม่หนาวเลยสักนิด) ได้เห็นวิถีชีวิตของเพื่อนบ้าน ต่างแขวงกันชีวิตก็ต่างกัน ความพอเพียงของคนลาว ร้าน coffee shop ที่ไม่มีตามรายทาง พอไม่เห็นก็ไม่เกิดกิเลส ก็ดีไปอีกแบบ

  • ถ้าเป็นเรา ชีวิตที่เงินเดือนเพียง 2,500 บาท จะมีชีวิตอยู่ได้ไม๊นะ...???
  • ถ้า AEC เปิด ประเทศเพื่อนบ้านคงเข้ามาทำงาน ยอมเป็นแรงงานขั้นต่ำประเทศเรา (300บาท) กันเยอะน่าดูเลยเนอะ... อนาคตคนไทยจะตกงานมากขึ้นใช่ไหมนะ...???
ถ้าใครมีโอกาสก็อยากให้ลองไป ວຽງວັງ (วังเวียง) กันดูสักครั้ง เป็นเมืองที่สงบ ธรรมชาติยังเพียบพร้อม คิดถึงประเทศไทยในหลายสิบปีก่อนเลยล่ะ ^^

ปล. ค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละประมาณ 11,000 บาท ++ จ้ะ

Instagram
อะไรคือการเขียน blog ที่ใช้เวลาสิ้นเปลืองขนาดนี้  (ประมาณ 6 ชั่วโมงเต็ม)

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์ตรงกับการโดน Facebook บังคับเปลี่ยนชื่อ ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "รอ"

สองชั่วโมง สองที่เที่ยว ด้วย เรือหางยาว เจ้าพระยา

น้องนีโม่ กับ โรคฉี่หอม