บันทึกการเดินทาง: กระบี่ พีพี และคายัค #ywcouting

คำเตือน: Blog นี้ภาพเยอะมาก กรุณาเชื่อมต่อ Wifi

บล็อกนี้เกิดขึ้นได้เพราะเห็นน้องเมย์เขียน ปกติแล้วไปเที่ยวกับแก๊ง #ywcouting ทีไรก็ไม่เคยเขียนเลยเพราะว่ากลับมาก็เหนื่อยมาก 55+


ทริปที่ 26 นี้ เกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีที่แล้ว (6 มี.ค. 59) ตอนที่คน 7 คนกำลังนั่งรถทัวร์แบบพัดลมเดินทางไปสร้างฝาย (ทริปที่ 18) ตั๋วเครื่องบินก็ลดราคาพอดี ด้วยความที่แก๊งเราเป็นพวกมือไวใจเร็ว เป็นสายลั่นตั๋วโปร เลยให้ปั๊มจองรอบแรกไปกระบี่ด้วยราคา 300 กว่าบาท แล้วแบงค์ตามเก็บรอบสองด้วยราคาใกล้เคียงกัน ส่วนราคาขากลับก็น่าจะประมาณ 700 นิดๆ อันนี้มาซื้อทีหลัง รวมไปกลับพันกว่าบาท ถูกกว่านั่งรถทัวร์อีกนะคะคุ๊ณณ

1 ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก พวกเราเดินทางออกจากออฟฟิศ หรือบ้าน หรืองานอีเว้นท์ในคืนวันที่ 2 มีนาคม 2560 นัดเจอกันที่สนามบินดอนเมือง ที่หน้า Gate เวลา 3 ทุ่ม

เรา จิม แบงค์ น้องเกด นัดเจอกัน BTS หมอชิตตอน 1 ทุ่มครึ่ง กะว่าจะนั่งแท็กซี่ไปด้วยกัน แต่ไปๆ มาๆ เหลือแค่ 3 คน เพราะน้องเกดไปกินข้าวอยู่กับเพื่อนที่สะพานควาย พวกเรา 3 คนจึงเดินทางด้วยรถบัส A1 มาลงที่ Airport


จากนั้นก็ไปกินอาหารที่ food court อาคาร 2 ซึ่งจิมกินอาหารคาว อาหารหวาน แล้วปิดด้วยอาหารคาวอีก 1 จาน (ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงกินได้อีก ไม่รู้ว่าไปหิวมาจากไหน -_-)




จากนั้นก็เดินผ่านประตู สแกนข้าวของ ผ่านเข้าไปด้วยกัน 5 คน มีพี่ยูกิกับพี่ป๋อมเพิ่มมา เดินด๊อกแด๊กมานั่งรอหน้า Gate ด้วยความชิล ครั้งนี้มีคนที่น่าตื่นเต้นเพียงคนเดียวคือน้องเมย์ที่มาจากงานอีเว้นท์ (หยกโทรตามรัวๆ) ส่วนพี่แทนนี่กับโบว์ลิ่งไปนอนรออยู่ที่กระบี่แล้ว



ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็ได้ขึ้นเครื่อง ระหว่างที่เครื่องขึ้นนั้นเมืองกรุงเทพฯ ดูเหมือนว่าถูกแบ่งออกเป็น 2 โลก ด้านบนฟ้ามืดมีดาวเต็มฟ้า ส่วนด้านล่างเป็นเมืองแห่งหมอกควัน ตลอดการเดินทางเราก็นั่งอ่านหนังสือทุกเล่มที่มันมีให้ อ่านวนไป อ่านแล้วอ่านอีก จนกระทั่งเดินทางมาถึงสนามบินกระบี่ ปกติจะต้องหลับแล้วแหละแต่บังเอิญว่าตอนเช้าอัดชาเขียว "ช้อนกินข้าวแบบพูนๆ" เข้าไปเลยตาค้าง 55+

เมื่อมาถึงสนามบินก็มีรถตู้มารับ 2 คัน พาเราไปโรงแรมออเรนจ์ทรีเฮ้าส์ ทำการเช็คอิน เอากุญแจมาแจก นอนห้องละ 2 คน (รูมเมทของเราคือพี่ยูกิ) จากนั้นก็แยกย้ายสลายตัวกันอย่างรวดเร็วเพราะพรุ่งนี้จะต้องเดินทางแต่เช้า


เจดสะดาเอาของเล่นใหม่ออกมาบิน https://www.instagram.com/p/BRJ8T3RABps/

เช้านี้ตื่นมาอาบน้ำ เก็บของแล้วเดินไปหาอะไรกิน เดินวนผิดไปหน่อยไปอ้อมบล็อคกว้าง เลยได้เจอพี่มอเตอร์ไซค์ ที่คงเห็นหน้าเราแล้วมองออกทันทีว่าเป็นคนแปลกที่แปลกทาง บอกว่า "มีร้านอาหารเช้าเยอะแยะ มีร้านติ่มซําด้วยแต่จะต้องเดินไปตรงตลาดเช้า" ซึ่งเราไม่มีเวลามากขนาดนั้น ก็เลยไปจบที่ร้านข้าวหมูกรอบที่เสือกับเก้านั่งกินอยู่ก่อน แล้ว แทน จิม พี่แทนนี่ น้องเมย์ก็ตามมาสมทบ ข้าวหมูกรอบที่นี่กร๊อบกรอบ แถมมีกระเทียมเจียวมาให้อีกด้วย





เมื่อมีอะไรรองท้องกันเรียบร้อยก็กลับมารวมพลกันที่ Lobby ของโรงแรม คนดูแลเช้านี้ใจดีบอกว่า มีของอะไรฝากไว้ได้นะ (เพราะว่าคืนวันเสาร์เราจะกลับมานอนที่นี่อีก) โบว์ลิ่งเลยฝากกระเป๋ากล้องไว้ ส่วนเสือฝากรองเท้าผ้าใบ (ซึ่งเสือเกือบไม่เอารองเท้ากลับ กทม. ด้วย - ได้คู่ใหม่แล้วลืมคู่เก่าซะงั้นแหละ)



cr: daewoojaa

จากนั้นก็มีรถตู้ 2 คัน (ที่มีคันนึงเปลี่ยนไปจากเมื่อคืน) มารับไปท่าเรือ เกือบมีเรื่องกับลุงคนขับรถตู้คันนึง ที่บอกว่า "รถผมรับได้แค่ 8 คน เพราะต้องไปรับฝรั่งอีก 2 คน" แล้วคืออีกคันที่มาเป็นฮุนได 10 ที่นั่งที่มีขนาดเล็กกว่ารถตู้ ยัดผู้ชายเข้าไป 8 คนก็แน่นเอี๊ยดละขร่าาาา



cr: Sutham Pom Thammawong

อีก 10 คนที่เหลือก็เลยต้องไปยัดกันอยู่ในรถของลุงคนขับที่บอกว่ารับได้แค่ 8 คนนั่นแหละ คัดคนตัวเล็กมาได้ดังนี้  โบว์ลิ่ง พี่ยูกิ น้องเมย์ แก๊ป หยก จิม ปั๊ม น้องเกด น้องปอย เราเอง (จงหาคนตัวไม่เล็กค่ะ :P)

cr: chavasgap

ซึ่งคันที่เรานั่งต้องแวะไปรับฝรั่งอีก 2 คนชะมะ ก็ไปเสียเวลารออยู่หลายสิบนาที เพราะเค้ามีมากกว่า 2 คน ต้องแยกรถกัน ต้องตกลงกันก่อน แล้วเค้าทั้งสองที่เป็นผู้ชายตัวโตก็ต้องนั่งเบียดกันข้างหน้าสุดตรงข้างคนขับ โดยมีสัมภาระของเค้ามาฝากไว้ตรงแถวที่เรานั่ง -_-



พอคันเราไปถึงท่าเรือ หยกก็รีบวิ่งไปเอาตั๋วสำหรับ 18 คน แล้วก็ให้ทุกคนวิ่งกันดุ๊กๆๆๆ เพื่อไปขึ้นเรือ เพราะว่าเรือจะออกตอน 9 โมงครึ่ง



cr: Sutham Pom Thammawong

หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือเรียบร้อย ก็มีกลุ่มนึงตั้งวงเล่นเกมกัน เล่นกันด้วยความสนุก จนบางทีก็เสียงดังมากกกก ทำให้เรารู้สึกเกรงใจคนอื่น 55 (พวกนี้เป็นใคร ไม่เห็นรู้จัก...)


งานตั้งวงก็มา https://www.instagram.com/p/BRKJStugl35/

ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงเกาะพีพี ที่นี่เราต้องเสียค่าทำความสะอาดเกาะ คนละ 20 บาท



cr: Sutham Pom Thammawong


จิมเอาโดรน ของเล่นใหม่ออกมาบิน ลมแรง เครื่องมีความส่าย


พอเข้าไปแล้วก็จะเจอกับคนที่มาช่วยรับกระเป๋าเราและพาเราเดินไปโรงแรม เขาบอกว่า "ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร" แต่ด้วยแสงแดดอันแรงกล้าที่แผดเผาเราให้มอดไหม้ได้ เลยทำให้มีความรู้สึกว่ามันไกลกว่านั้น อีกอย่างคือกำลังหิวด้วย (พวกที่แอบแวะกิน Pizza ระหว่างทาง โดยเฉพาะคนที่จองโรงแรม มันช่างน่าตี!)




ที่พักของเราคืนนี้คือ อันดามัน บีช รีสอร์ท จองไว้ทั้งหมด 5 ห้อง คือ
  • ห้องละ 5 คน จำนวน 1 ห้อง 
  • ห้องละ 4 คน จำนวน 1 ห้อง
  • ห้องละ 3 คน จำนวน 3 ห้อง 
ชายหาดหน้าที่พัก https://www.instagram.com/p/BRKcGj-gG2K/

ซึ่งตอนที่เราไปเช็คอินสามารถเข้าได้แค่ห้อง 3 คน ก็ไม่มีปัญหาอะไร แค่เอากระเป๋าเก็บไว้แล้วออกไปหาข้าวกลางวันกิน




ระหว่างที่รอเช็คอิน จิมก็เอา mavicpro ขึ้นบินเล่น ความตลกคือ ตอนเรียกมันกลับมาเก็บ มีฝรั่งคนนึงวิ่งตามมาด้วย ในมือของเค้าถืออุปกรณ์บังคับแบบเดียวกับจิม เค้าคิดว่าเครื่องที่บินมาจอดนี้น่าจะเป็นของเค้า แต่เปล่าจ้า ของเค้าหายไปไหนแล้วไม่รู้ 555+



เอะอะก็ขึ้นบินตลอด cr: Look Kate

ข้าวกลางวันวันนี้ เราไปกินกันที่ร้านแอมคาเฟ่ Amp' cafe ได้ชื่อร้านนี้จากการทำการบ้านมาเป็นอย่างดีของน้องปอย เข้าไปทีเต็มร้านเลย 55+ แยกโต๊ะกันนั่ง สั่งต่างกันไปตามความพอใจ (และความหิวโซของแต่ละคน)



cr: Look Kate
ความประทับใจของร้านนี้คือ
  • ต้มยำที่มีรสชาติคล้ายแกงส้ม 
  • การลดราคาอาหารให้ 20% เพราะเป็นคนไทย 
  • และความน่ารักของพนักงานที่มาแนะนำสถานที่เที่ยวบนเกาะ เอาแผนที่มาให้ เอาปากกามาวงๆ ให้ด้วย 
น่ารักมากกกก *แนะนำค่ะ*



พอกินเสร็จก็แยกย้ายกันไป freestyle ตามความชอบของตัวเอง เรา แบงค์ น้องปอย จิม พี่ยูกิ น้องเกด ไปกิน Mango Garden กันต่อ (เสือมานั่งดูและร่วมพิธีกรรมบูชาอาหารเฉยๆ)



https://www.instagram.com/p/BRNU-PTAjW4/

หลังจากซัดโฮกไปด้วยความเร็วแสง แบงค์ก็แยกตัวกลับไปที่พักก่อน เพราะจะไปเอาอุปกรณ์ถ่ายภาพเพิ่มเติม พวกเราที่เหลือจึงเริ่มเดินสำรวจเกาะพีพี








เดินไปสุดหาดฝั่งนึงแล้วก็เดินย้อนกลับมาอีกฝั่งนึง เจอคนเล่นสิ่งนี้ด้วย (มันเรียกว่าอะไร?)










แม่ค้าผู้ให้บริการบอกว่าราคา 1,500 บาทต่อเที่ยว เพราะว่าใช้พนักงานในการเอาขึ้นเยอะ เท่าที่ดูแล้วได้ขึ้นไปอยู่บนฟ้าประมาณ 5 นาทีเท่านั้น ค้ากำไรเกินควรไม๊ หรือเราจนเอง T T)?


จากนั้นก็เดินไปดูร้านอาหารเย็น ที่ชื่อว่า Papaya Restaurant ที่น้องปอยได้โทรมาจองไว้จากการแนะนำของรีเซฟชั่นโรงแรม เดินมาดูเมนูอาหารและแอบพักเหนื่อยไปในตัว






ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทะมึน คล้ายว่าจะมีฝนตก แต่พอเราออกเดินทางกันต่อ แดดเปรี้ยงก็กลับมา -_- พวกเราเดินวนไปดูอาคารหลบภัยสึนามิที่ดูเหมือนว่าจะร้างไปแล้ว




แล้วก็ตัดสินใจปีนบันไดกี่ร้อยขั้นไม่รู้เพื่อไปที่จุดชมวิว เสียค่าเข้าชมคนละ 30 บาทเนื่องจากเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล










วันนี้พระอาทิตย์จะตกตอน 18.37 (Google บอกอย่างนั้น) พวกเราปีนขึ้นไปถึงตั้งแต่ประมาณสี่โมงนิดๆ ก็ได้มาเจอแบงค์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งแบงค์บอกว่า "ขึ้นมาอีกทางหนึ่ง เป็นทางลูกรังดินแดง ลำบากกว่าบันไดที่พวกเราขึ้นมามาก อารมณ์เหมือนทีลอซู ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์อีก"



จิมเอาโดรนขึ้นบินถ่ายภาพจากมุมสูง https://www.instagram.com/p/BRK_Xg7A80w/

เมื่อขึ้นมาแล้วนอกจากความเหนื่อยหอบและไม่รู้จะทำอะไร ก็ถ่ายรูป นั่ง นอน กิน ถ่ายรูป วนไปค่ะ



มุมนี้เป็นมุมมหาชน https://www.instagram.com/p/BRLJMW7gE7_/


พอ 5 โมงเย็นเป็นต้นมา ชาวแก๊งก็ทยอยปีนกันขึ้นมา เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พบเห็นได้มากบนเกาะนี้ (ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวเป็นชาวต่างชาติหมดเลยนะจ๊ะ)




ยิ่งตกเย็นคนก็ยิ่งเยอะ ทุกคนต้องหามุมถ่ายภาพเป็นของตัวเอง ความยากอยู่ที่ชาว timelapse ทั้งหลายที่พอตั้งกล้องตรงไหนก็ต้องมีคนมาบังหน้ากล้องตลอด 55+



cr: chavasgap

ส่วนภาพด้านล่างนี้ได้มาอย่างยากลำบาก ใช้ความอดทนสูงมากกกกก ในการรอคอยให้คู่รักชาวต่างชาติถ่ายภาพกับวิวจนพอใจ นานขนาดที่ว่าเอาโดรนขึ้นบินไปแล้วกลับมาแล้วรอบนึง พวกเขาก็ยังถ่ายไม่เสร็จ ไม่พอใจซักที ได้แต่ท่องในใจว่าเราเป็นเจ้าบ้าน อย่าไปกัดเขา (ฮึ่มมมมม)



น้องปอยโดนแสงเซนเซอร์หน้าเขียวเลย cr: Nopparid Ton Mokpradab


cr: Sutham Pom Thammawong

เป็นการใช้เวลาเสพธรรมชาติที่คุ้มค่ามา นั่งดูพระอาทิตย์ค่อยๆ ตก จากอากาศและแสงแดดที่ร้อนมอดไหม้ ค่อยๆ ทอแสงละมุน ลมที่พัดมาก็ช่วยพัดพาเหงื่อให้แห้งเหือดไป



cr: chavasgap

คนพื้นที่บอกว่า "มาช่วงเดือนนี้พระอาทิตย์ตกหลังเขา ช่วงเดือนเมษาจะตกลงทะเล" แต่แค่นี้ก็ ok แล้ว :)



cr: yugi5002


https://www.instagram.com/p/BRLKi20gfCg

พอ 18.45 พวกเขาก็รีบเคลื่อนตัวลงมาก่อนที่จะมืดเกินไป (ตอนแรกจะลงมาเร็วกว่านี้ แต่น้องปอยขอ lapse ต่อแป๊บนึง) ระหว่างทางก็มีท่านแมงเม่ารอต้อนรับเป็นฝูง สิงสถิตอยู่ทุกหลอดไฟที่ติดไว้ตามทางเดิน บินเข้าหน้าเข้าตัวไปหมด


พอลงมาพื้นข้างล่างเรียบร้อย (ใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้นเยอะมาก) ก็รีบเดินไปร้านอาหารที่จองและสั่งไว้แล้วตอน 1 ทุ่มครึ่ง ทุกคนมาก่อนเวลา อาหารก็เลยมาเร็วด้วย ยกเว้น แก๊ป แทน พี่บอยที่ตามมาทีหลัง ของเลยเหลือน้อยไปหน่อย ขอโทษนะ ><"


สำหรับต้มยำของร้านนี้รสชาติเหมือนมัสมั่น เป็นสองมื้อที่สั่งต้มยำแล้วรสชาติไม่เหมือนกันซักที่ ดีจริงๆ 55+



อันนี้คือต้มยำ


อันนี้คือมัสมั่น

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเราก็เดินไปที่ Beach ที่เค้าบอกว่ามีการแสดงโชว์ไฟทั้งแถบ ตอนนี้น้ำทะเลลดลงไปเยอะ ชาวแก๊งเราทำพิธี "บูชาไฟฉาย" จิมเอาโดรนขึ้นบินถ่ายรูปจากมุมสูง ดูลึกลับและทรงพลัง



cr: zinuzoid

ประมาณ 3 ทุ่ม ทุกร้านแถบนี้จะมีการโชว์ไฟ เจ้าของร้านอาหารเมื่อกี้บอกว่า "จะโชว์กันไปถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งเลย"



cr: zinuzoid

เป็นการโชว์ไฟที่นักแสดงดูมีพลัง (และ Six pack เป็นมัดๆ) แต่ละร้านจะมีเทคนิคบางอย่างเป็นของตัวเอง แต่โดยรวมแล้วก็คือการควงไฟไปมานั่นแหละ ร้านไหนนักแสดงเยอะกว่าก็จะดูทรงพลังมากกว่า เล่นอะไรได้หลากหลายมากกว่า




ชอบที่หลายร้านมีเด็กน้อยมาเล่นด้วย เด็กน้อยในวันนี้จะเป็นผู้ใหญ่ที่ทรงพลังในวันหน้าแน่นอน



คนเล่นไฟ ภาพนี้เป็นภาพที่เราชอบที่สุดในคืนนั้น https://www.instagram.com/p/BRLe9htgLQ0/

เดินดูพวกเขาอยู่สักพัก พวกเราก็ตัดสินใจเดินกลับที่พักกันดีกว่า แต่ก็ยังไม่วายหาของกินกันไปตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า (ที่นี่หาร้านขายพิซซ่าง่ายกว่าเซเว่น) ถังL ไอติม โรตี ฯลฯ


เรากับจิม เดินจ้ำไปถึงที่พักก่อน แต่ประสบปัญหาเข้าห้องพักไม่ได้ทั้งคู่ ไม่รู้ว่าตัวเองนอนห้องไหน แล้วก็ไม่มีกุญแจเพราะมัวแต่ออกไปเที่ยวทั้งวัน ต้องรอเพื่อนมาเปิด 55+


หลังจากเข้าพักห้องเรียบร้อย คืนนี้เรานอนกับ หยก โบว์ลิ่ง น้องเมย์ ก็ได้เจอ "ปีเตอร์ 1 ตัว" บนเตียงนอน หยกกับโบว์ลิ่งทำหน้าที่เป็น Sound effect ที่ดี เพิ่มความสยองในการกำจัดมันออกจากห้องของเราได้ดีมาก (กลัวเสียงสองคนนี้เนี่ยแหละ) สิ่งเดียวที่เรากลัวคือ "มันบิน" แต่ดีที่ตัวนี้ไม่ได้บิน แล้วเราสามารถใช้ผ้าตบมันออกไปนอกห้องได้ (ไม่อยากฆาตกรรมมัน) ขอบคุณความช่วยเหลือจากน้องเมย์ที่คิดไอเดียเอาไดร์เป่าผมเป่าให้มันบินออกมาจากหลังทีวี

...ถ้ามันยังอยู่ในห้อง คงหลับไม่เป็นสุขกันแน่ๆ

มานั่งคิดดูดีๆ เวลาที่พี่ป๋อมมาร่วมทริปด้วยทีไรจะต้องเจอปีเตอร์ในห้องนอนเรากับหยกทุกที ต้องเป็นพี่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ ... (แซวเล่นนะ)


ยังจะอุตส่าห์ถ่ายภาพเก็บไว้อีก cr: Bow Ling

จากนั้นก็มีแก๊งหนึ่งออกไปนั่งชิวกันริมหาด ส่วนเรากับน้องเมย์ขอสลบก่อนนะ นอนดีกว่า zzZzz


เช้าวันรุ่งขึ้น ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 7 โมงครึ่ง แต่หกโมงครึ่งก็ตื่นเองเฉยเลย -*-
ก็เลยเดินออกไปชายหาด ถ่ายพระอาทิตย์ ถ่ายทะเล ถ่ายความสงบเงียบในยามเช้า เป็นความรู้สึกที่คนละโลกกับเมื่อคืนเลย


https://www.instagram.com/p/BRMfIHtAFiR

จากนั้นก็กลับมาเข้าห้องน้ำ แล้วก็ออกไปกินข้าวเช้ากับหยก ได้เจอเสือกำลังนั่งดูมือถืออย่างตั้งใจ โดยไม่สนใจสาวสวยข้างๆ ที่นั่งอยู่ด้วยเลย "โอม ม ม ม ม ม จงเงยขึ้นมา"




หลังจากเติมพลังตอนเช้าเรียบร้อยก็กลับมาอาบน้ำ เก็บของ เตรียมตัวลงเรือและ check out โดยเอากระเป๋าไปทิ้งไว้ที่ล็อบบี้ กว่าเราจะได้ออก ก็เกือบ 10 โมง เพราะว่าเรือติดหาดอยู่ ได้ช่วยกันเข็น ช่วยกันดันเรือออกไป



เอาโดรนขึ้นบินตามเรือ cr: zinuzoid
เสือที่พยายามช่วยจับโดรน จนเกือบลอยไปกับโดรนแล้ว

เราผ่านเกาะรังนก เกาะที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้ามาตอนดึกๆ นี่โดนยิงทิ้งได้เลยนาจา




แล้วไปดำน้ำกันที่อ่าวปิเละ ก่อนลงน้ำ จำเป็นต้องทำพิธีบูชาสถานที่ด้วยการถ่ายรูปที่หัวเรือ (ใช่เรอะ?)



cr: Chawit Hinngurn ที่ Live ตลอดเวลา  https://www.facebook.com/tannysoft/videos/10154945860087457/

ที่นี่น้ำตื้น ปะการังตายค่อนข้างเยอะ (เห็นแบบมีสีน้อยมาก) แต่เราชอบตรงที่มีปลาหลากหลายชนิดที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ความแย่ที่สุดคือ "เค็มปี๋ แสบตา แสบคอไปหมด" แถมเรา น้องปอย น้องเมย์ พี่แทนนี่ ต้น จิม ดันว่าย(ตาม)น้ำไปไกล ตอนว่าย"ทวน"น้ำกลับมาขึ้นเรือนี่เกือบตาย หอบแฮ่กค่าาาา



มาเที่ยวครั้งนี้ไม่มีภาพใต้น้ำดีๆ เท่าไหร่เลย ลงไปได้แป๊บนึงก็โดนคลื่นซัดกระเด็น T__T cr: UntinosZ


ความใสที่มาพร้อมความเค็มปี๋ https://www.instagram.com/p/BRNSLi_AUcw/


แล้วเรือก็แว๊นผ่านหาดอะไรซักหาด (ไม่ได้แวะ) ก่อนจะไปถึง "อ่าวมาหยา" ตอนเกือบเที่ยง ที่นี่เราต้องเสียค่าเหยียบเกาะคนละ 40 บาท เพื่อไปดูคนมากมายที่อยู่บนหาด #หื้มมมม ทันทีที่เหยียบหาดก็ไปต่อคิวเข้าห้องน้ำก่อน





แล้วก็รีบเดินวนกลับมาที่หาด มายืนรออยู่ข้างเรือ เพราะนัดหมายกันว่าจะเจอกันตอนเที่ยง ยืนซักพักก็เมื่อยก็เลยเดินลงไปนั่งแช่ในน้ำทะเลซะเลย



เรือของพวกเรา https://www.instagram.com/p/BRNlDgsgrq0/


ระหว่างที่รอเพื่อนๆ ก็ได้เห็นแก๊งชายโฉดของเราถ่ายภาพให้กับสาวๆ ในชุดบิกินี่ ไม่ได้สนใจเวลานัดหมายเลย (อารมณ์เราก็เริ่มเดือดละ) ส่วนสาวๆ ก็หายไปถ่ายภาพกันเอง (มารู้ตอนที่เห็นภาพใน Social 555+)



cr: Thongchai Pum Kitiyanantawong


กว่าจะได้ออกจากมาหยาก็เกือบบ่ายโมงละ ทำให้ไม่สามารถไปดำน้ำอีกจุดนึงได้ ถามว่าโกรธไม๊ที่นัดแล้วไม่เป็นนัด บอกเลยว่า "โกรธ" "ตาขวาง" และ "ดุ" มากด้วย

ระหว่างที่นั่งเรือโต้คลื่นกลับมาที่เกาะพีพี

พ "เราดุไม๊"
จ "ดุ"
พ "ก็ไม่ดีน่ะสิ เราทำไม่ถูกหรือเปล่า"
จ "ก็ถูกแล้ว"
พ "แต่เราไม่ได้อยากเป็นคนดุ"
จ "ถ้าไม่ใช่เธอแล้วใครจะทำ"
พ "เธอไง"
จ "..."
พ "วันหลังเราจะเงียบ จะไม่พูดอะไร"
(นั่งมองฟ้า มองน้ำ)

ก็มาดูกันว่าครั้งหน้าถ้าเราเจอเรื่องแบบนี้ เราจะเงียบได้ไม๊...

เราไม่ได้อยากทำให้บรรยากาศเสีย อยากให้มันสนุก แต่พอมีเรื่องไม่ตรงเวลาทีไร มันคุมตัวเองไม่อยู่ทุกที -_-





ตัดภาพมาที่หาดทรายหน้าโรงแรมอันดามันบีช "แทน" ยื่นมือมาจะช่วยให้เราลงเรือง่ายๆ แต่เราก็ยังตาขวาง แล้วบอกว่า "ไม่ต้อง" (ยังอารมณ์ค้างอยู่) แล้วโดดลงไปเองเลย ไม่ใช้บันไดด้วย แล้วก็เดินจ้ำๆ ไปอาบน้ำฝักบัวกันตรงข้างสระว่ายน้ำนั่นแหละ 18 คนกับ 2 ฝักบัว กับฝรั่งตาน้ำข้าวที่เล่นน้ำกันอยู่ในสระว่ายน้ำ ...พวกเขาคงมองด้วยความแปลกใจ
เป็นการสระผมที่สระเท่าไหร่ฟองก็ไม่หมด เพราะโดนเจดสะดาเทยาสระผมใส่หัวให้ไม่เลิก #มองบน พออาบน้ำเสร็จก็ไปเปลี่ยนชุดแห้งที่ห้องสุขาข้างสระว่ายน้ำนั่นแหละ สภาพห้องน้ำตรงนี้เรียกได้ว่า "แย่" แต่ไม่มีตัวเลือกนี่หน่า ทำไงได้


รับพลังยามเที่ยง cr: Atichat Saetae


มื้อกลางวันนี้เราแยกย้ายกันกินอาหาร โดยนัดเจอกันที่ท่าเรือ 15.00 เพื่อขึ้นเรือรอบ 15.30 กลับตัวเมือง (เป็นเที่ยวสุดท้ายของวันนี้ละ) ใครใคร่เล่นน้ำก็เล่นไปก่อน ใครใคร่หิวก็ไปหาอะไรกินก่อน ซึ่งเราเป็นเคสหลัง

เรา จิม แบงค์ แบกกระเป๋าตัวเองออกจากที่พักไปหาข้าวกลางวันกินแถวท่าเรือ ซึ่งได้กินที่ร้าน "รสนิยม" ชื่อเหมือนร้านใน กทม. เลย เป็นร้านที่รสชาติค่อนข้างเป็นอาหารไทยที่คุ้นเคย







พอของคาวเสร็จก็เดินไปร้านข้างๆ เข้าไป Mango Garden อีก (จะมาอะไรทุกวัน -_-)



พนักงานบอกว่ามีสาขาสองอยู่ที่สยามพารากอนนะ https://www.instagram.com/p/BRNWsohAOnn


หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้วก็รีบไปที่ท่าเรือ หยกยื่นเอกสารจองให้กับพี่เจ้าหน้าที่ พี่เจ้าหน้าที่ให้ Sticker ที่เขียนว่า "Town" ให้ทุกคนแปะที่เสื้อ เพื่อขึ้นเรือกลับเมืองกระบี่ ขากลับนี่ไม่มีการตั้งวงอะไรทั้งนั้น ส่วนมาก "หลับ" "เล่นมือถือ" "หลับ" "หลับ" "หลับ" "หลับ" ใช้เวลาพอๆ กับขาไป พวกเราก็เดินทางมาถึงท่าเรือกระบี่ มีรถตู้มารับสองคันเช่นเดิม และแน่นอนว่ามีคันนึงที่เปลี่ยนไป (อีกแล้ว) เราเดินทางกลับมาที่พักออเรนจ์ทรีเฮ้าส์ แต่คราวนี้สภาพไม่เหมือนเดิม เพราะว่ามีถนนคนเดินเมืองกระบี่อยู่หน้าที่พักเลยจ้า เอาของไปเก็บที่ห้อง พักผ่อนตามอัธยาศัยและนัดหมายเจอกันที่ร้านอาหารใบเตยตอน 18.30 ร้านที่หยกบอกว่าใกล้ที่พัก เดินไปนิดเดียว

มาเที่ยวทั้งทีก็อย่าไปหยุดพักผ่อนมันค่ะ ออกไปเดินกันต่อ เรา จิม แทน พี่ยูกิ ออกจากโรงแรม เลาะริมน้ำเพื่อไปดูลานปูดำ ความคาดหวังคือได้ถ่ายกับปูตัวใหญ่ ความเป็นจริงคือ... โอเค มันก็ใหญ่อยู่ แต่มีเด็กน้อยปีนปูกันเพียบเลย นี่มันสนามเด็กเล่นหรือเปล่า -_-

จากนั้นก็เดินเลาะริมน้ำกลับมาอีกทาง ได้เจอกับสวนเจ้าฟ้า ที่มีสิ่งประดิษฐ์เหยี่ยวตั้งอยู่ ณ ที่ตรงนี้ พี่ยูกิได้กลายเป็นตากล้องจำเป็นให้กับคู่ฝรั่งรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่ดูเหมือนเดินทางมาเที่ยวกันตามลำพัง น่ารักดี



ตอนเย็นริมน้ำนี่มันลมดี อากาศดีจริงๆ จากนั้นก็ให้แทนเปิด maps เดินตาม location ไปที่ร้านใบเตย เพราะใกล้เวลานัดหมายแล้ว

ตอนที่กำลังเขียน Blog นี้อยู่ ก็คิดถึงอารมณ์ตอนนั้น ว่าทำไมไม่โกรธ ไม่เคืองแทนแล้วนะ? เรียกแทนมาเป็นแบบถ่ายรูป ใช้แทนเปิด maps หน้าตาเฉย




นี่คงเป็นข้อดีที่พวกเราเที่ยวด้วยกันมาหลายทริป ทำให้รู้ว่าแต่ละคนมีลักษณะยังไง นิสัยแบบไหน ต่อให้งอนกันแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นเพื่อนกันอยู่ดี อยู่ดีๆ การที่เป็นคนความจำดี เจ้าคิดเจ้าแค้นกับคนที่ทำไม่ดีหรือทำให้เราไม่พอใจ ก็ใช้ไม่ได้กับเพื่อนแก๊งนี้ เราถือว่าเป็นข้อดีนะ แต่เพื่อนจะจำไม๊ อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกัน -_-

กลับมาที่โลกความจริง เราก็เดินเลาะริมน้ำกันไป เดินไปเรื่อยๆ แล้วก็สงสัยว่า "ทำไมยังไม่ถึงซักที" มีความไกลไม่ใช่เล่น Google Maps ส่งเสียง ตึ๊งตึ่ง ออกมา 1 ครั้ง เราหันไปถามแทนว่า "ถึงแล้วเหรอ?" "ยังอ่ะ" โอเค เดินกันต่อไป... แล้วเราก็มาเจอ ชิงช้าที่แขวนอยู่กับต้นไม้ พร้อมกับเสียง ตึ๊งตึ่ง อีก 1 ครั้ง เฮฮฮฮ เรามาถึงแล้ว ถึงเป็นทีมแรกด้วย มาถึงก่อนได้สิทธิ์สั่งอาหารก่อนนาจา

ระหว่างรออาหารก็ไปนั่งเล่นชิงช้า ส่วนจิมก็ไปออกบิน (อีกแล้ว) อาหารเย็นวันนี้เรียกได้ว่าทะเลจัดเต็ม แต่น่าแปลกใจ เราว่ามันไม่ค่อยสดเท่าไหร่

ขณะที่เรากำลังอิ่มหมีพีมัน นั่งจกหมึกไข่ย่างเมนูที่สั่งไปก่อนแต่ได้มาเป็นลำดับสุดท้าย น้องเกดก็ได้ทำการเข็นรถที่วางน้ำแข็งและขวดโค้กใหญ่ผ่านพื้นไม้กระดานที่มีความไม่เรียบ ทันในนั้นเอง "เพล้ง ง ง ง ง ง" เสียงขวดหล่นแตกดังสนั่น เศษของขวดแก้วที่แตกกระจายไปหลากหลายทิศทาง พร้อมกับหยาดเลือดที่หยดออกมา "ติ๋ง ติ๋ง" จากขาของเก้า เท้าของเสือ ความหน้าซีดระคนตื่นตกใจได้บังเกิดขึ้นบนใบหน้าของน้องเกด พี่เด็กเสิร์ฟรีบมาช่วยเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ครบชุดทั้ง ทิชชู (ที่แกะมาจากบนโต๊ะนั่นแหละ) สำลี(ไม้) แอลกอฮอล์ ยาแดง พลาสเตอร์ยา ตอนแรกเราก็นั่งเฉยๆ แหละ แต่ทำไมดูโหวกเหวกกัน? (คนเจ็บทั้งสองโวยวายแบบหัวเราะไปด้วย) เลยขอไปดูสภาพแผลซะหน่อย

ด้วยความที่เป็นคนอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ เลยไปช่วยทำแผลซะเลย ความเหมือนของแผลทั้งคู่คือค่อนข้างบาดลึก กดเลือดเท่าไหร่ก็ไม่หยุด โดยเฉพาะเก้าที่กินของที่ช่วยสูบฉีดเลือดเข้าไปก่อน #ทำตัวเองนาจา แต่สุดท้ายก็ราดยาแดงแล้วแปะพลาสเตอร์ยาลงไปเลย เสือบอกว่า "ถ้าอยู่บ้านนะ เอาอะไรราดๆ ก็เสร็จแล้ว" #แหม่ หลังจากที่ทำแผล เก็บอุปกรณ์คืนทางร้านเรียบร้อย หยกก็เช็คบิลแถมด้วยให้ทิปไปเกือบสองร้อย ป๋าจริงๆ :P เอาจริงๆ ก็สมควรจ่ายนะ ใช้ทิชชูเค้าหมดห่อเลย แถมแอลกอฮอล์ ยาแดงก็ราดเอา ราดเอา 55+

แล้วพวกเราก็เคลื่อนขบวนกลับมาทางโรงแรม ระหว่างเดินก็มีการเล่าเรื่อง "การสังเวยต่างๆ" และแน่นอนว่าหนีไม่พ้นเรื่อง "ต่อมหาภัย" ที่เราเจอในทริปทีลอซู ก่อนจะแยกย้ายกันไปเดินถนนคนเดิน หยกก็เรียก Brief กำหนดการของวันรุ่งขึ้น เพื่อให้เข้าใจตรงกัน หลังจากนั้นทุกคนก็วาร์ป ฟ้าววววว


วิวจากห้องพักของจิมกับแทน https://www.instagram.com/p/BROCTi1gkLO/


ถนนคนเดินที่อยู่หน้าโรงแรมของเราค่อนข้างมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับเชียงใหม่ที่เคยเดินมาทั้งสองที่ เดินวนแป๊บเดียวก็ครบ ส่วนมากเป็นของกิน งาน Handmade ค่อนข้างน้อย ไม่มีอะไรดึงดูดใจให้ซื้อเท่าไหร่ พอเดินวนครบ ก็เลยออกไปเดินวนบล็อกใหญ่ วนไปวนมา หาร้านนั่งกินขนมก็ไม่มี อากาศก็ร้อน เหงื่อก็ออก แล้วยังจะเดินไม่หยุดอี๊กกกก

สุดท้ายก็จบลงที่แทนโทรมาหาจิมเพราะจะเข้าห้องพัก เลยไปจบที่ 7eleven และตลาดสดที่อยู่ตรงข้ามกันเพื่อให้จิมซื้อข้าวเหนียวมะม่วง (อีกแล้ว) จากนั้นก็กลับห้องพัก อาบน้ำ พักผ่อน ตกดึกมากๆ มีการเรียกรวมตัวกันที่ห้อง 1 เพื่อเล่นกิจกรรมอะไรกันซักอย่าง เราถามพี่ยูกิว่าไปไม๊ พี่ยูกิบอกว่าพี่คงไม่ไป โอเค งั้นพริ้วไม่ไปด้วย นอนค่ะ 555+ กลางดึกที่นอนหลับไปแล้วรู้สึกได้ยินเสียงดังออกมา 1 ครั้ง ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นเวลาอะไร ตอนเช้าที่ตื่นมาถึงได้รู้ว่ากว่าห้องนั้นจะนอนกันเกือบตีสามแต่ตอนเลิกเงียบมาก คงจะเป็นตอนที่เปิดประตูห้องมากกว่า (ซึ่งตอนกี่โมงก็ไม่รู้)

เช้าวันอาทิตย์นี้ตั้งปลุกไว้ตอนเจ็ดโมงเช้า ก็ยังไม่วายตื่นเองตั้งแต่หกโมงครึ่งอีก ตื่นมากลิ้งตัวไปมา แล้วก็หนีลงไปกินขนมปังปิ้งสองแผ่น ก่อนจะกลับมาอาบน้ำเก็บของ checkout แล้วไปหาอาหารเช้ากิน ซึ่งได้มาเป็น ข้าวเหนียวไก่ทอด (แหม่ กินเหมือนตอนอยู่ กทม. เลย) ก็ซื้อกลับมากินตรง lobby โรงแรมนั่นแหละ ด้วยความรวดเร็ว พวกเราก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่กระบี่แล้ว แต่กิจกรรมของเราก็ยังคง "เต็มที่กับชีวิต" เหมือนเดิม นั่นคือการพายเรือคายัคกับทัวร์ฟ้าใส เป็นเวลาเกือบสามชั่วโมง กลางแดดเปรี้ยงตอนกลางวัน ภาพที่คิดไว้ในใจคือ พายเรือเลาะป่าชายเลนสวยๆ ความเป็นจริงคือ พายออกทะเลไปค่ะ พายไปให้ไกล

ความเหนื่อยคือ มีคนเอาของเล่นลงไปในคายัคด้วย เอาโดรนขึ้นบิน แล้วหน้าที่พายเรือตกมาเป็นของใคร? ก็ชั้นไงงงงงงง ไม่ง่ายเลยนะกับการพายคนเดียว เหนื่อย ฮือออ #งอแง


cr: zinuzoid https://www.instagram.com/p/BRSE5YIgHuh/


การนั่งพายนานๆ มันเมื่อยชะมะ ก็ต้องมีเปลี่ยนอริยาบถกันหน่อย เอาจริงๆ คือ การนั่งทำให้ไม่มีแรงพายเพียงพอ 55+


คนที่ยืนหัวโด่อยู่นั่น คือฉันเอง https://www.instagram.com/p/BRSO7cpgC2R/


พวกเราพายไปดูตรงเกาะทรายกลางทะเล (ที่อีกแป๊บนึงน้ำก็ท่วม) ตรงนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก ได้เจอปูลมจำนวนมาก ปูที่ใหญ่กว่าตัวลม หยกทำหน้าที่เป็นวิทยากรผู้ให้ความรู้เรื่องปลาดาว รวมถึงการดูเพศของปู (ฟังพี่ไกด์ก่อนแล้วถ่ายทอดอีกที) พร้อมด้วยพี่แทนนี่ที่ยังคง Live อย่างต่อเนื่อง





ที่นี่มีปลาดาวเยอะมากกกก มีตั้งแต่สามแฉก สี่แฉก ห้าแฉก รวมไปถึงปลาดาวที่กำลังขี่คอกันอยู่หลายคู่









จากนั้นก็พายกันต่อ ไปดูเขา ดูป่าโกงกาง ดูน้ำที่ค่อนข้างขุ่น พี่ไกด์บอกว่าเพราะน้ำขึ้น มันก็เลยเอาขี้เลนอะไรพวกนี้ขึ้นมาผสมกับน้ำ



cr: Chawit Hinngurn แม้จะไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ Live พี่แทนนี่ก็ขออัด Video เก็บเอาไว้ก่อน https://www.facebook.com/tannysoft/videos/vb.571082456/10154950070207457/


ที่ป่าโกงกางนี้มีลิงอยู่หลายตัว พี่ไกด์บอกว่าให้เก็บของให้เรียบร้อย ปิดกระเป๋า เราพยายามพายให้ห่างจากวิถีการโดดลงเรือของลิงแล้ว แต่ก็ยังไม่วายได้รับการทักทายจากพวกมันไปตามๆ กัน หยกที่ตอนแรกอยากให้อาหารลิงเพราะเห็นว่ามันผอมโซ ชั่วเวลาไม่กี่นาทีที่เจอลิงโดดลงมาแยกเขี้ยวใส่ หยกก็เอาไม้พายดันมันเกือบตกเรือ เปลี่ยนความตั้งใจในการให้อาหารไปเลย



ลิงผู้หิวโหยจกน้ำ 1 ขวดจากเรือใครไปไม่รู้ แล้วก็เอาปากกัดพลาสติกด้านข้างขวด กินหน้าตาเฉย


ขากลับนี่โหดสุด เพราะเป็นการพายทวนน้ำ บวกกับสภาพอากาศที่พระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้ากลางหัว รวมถึงแขนและไหล่ที่อ่อนล้าเต็มที แต่ก็กลั้นใจพายกลับมาถึงที่จนได้ เพราะท่องไว้ว่า ถึงก่อนได้อาบน้ำก่อน แค่นี้เลย 55+ เป็นแรงจูงใจที่แปลกชะมัด

เมื่อเราขึ้นมาถึงฝั่ง ทางทัวร์ก็เตรียมผลไม้สดให้ได้กินกัน มีสับปะรดแล้วก็แตงโม พร้อมการขายภาพถ่ายใบละ 100 บาท ซื้อไป 2 ภาพคือเรือลำหยกปั๊มกับน้องเมย์พี่แทนนี่ จากนั้นก็รีบแยกย้ายไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปกินข้าวกลางวัน


ร้านอาหารกลางวันวันนี้ชื่อว่า "เรือนทิพย์" รสชาติใช้ได้เลยแหละ โดยเฉพาะแกงส้มแบบภาคใต้ (ที่สั่งว่าไม่เผ็ด - แต่ก็ยังเผ็ดนิดหน่อย) ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันอร่อยจริงๆ หรือว่าพวกเราหิว เพราะใช้พลังงานกันไปเยอะมากกันแน่ อาหารมาเต็มโต๊ะ เราถ่ายภาพอยู่ไม่กี่อย่าง จากนั้นก็กินรัวๆ (คนเดียวที่ถ่ายเมนูอาหารครบ น่าจะเป็นน้องปอย)




เมื่อของคาวหมด ก็ต่อด้วยของหวานอย่าง "ข้าวเหนียวมะม่วง" (อีกแล้ว) กินจนหน้าจะเป็นมะม่วงสุกละค่ะ แหม่!!!

หลังจากพักเหนื่อย พักท้องกันเรียบร้อยก็เคลื่อนขบวนไปยังสนามบิน พวกเราไปถึงสนามบินก่อนเวลาปกติ ขณะที่ทุกคนกำลังชิว แบงค์ก็วิ่งมาบอกว่า Flight เร็วขึ้น 30 นาที! หน้าจอบอกแบบนั้น เอ้าาาา วิ่งสิคะวิ่ง เก็บบัตรประชาชน 18 คน วิ่งไป checkin ที่ couter นกแอร์กับหยก พอวิ่งไปถึง ถึงได้รู้ว่าเป็นเวลาเดิม ส่วนหน้าจอที่เห็นอ่ะ น่าจะพัง -_- โอเค้

กลับมาที่โหมดชิวกันอีกครั้งนะคะ เมื่อเช็คอินครบเรียบร้อยก็แจกบัตรโดยสาร และบัตรประชาชนคืนเจ้าของ แอบวิ่งไปดูร้านค้าด้านนอกว่ามีของฝากไม๊... ไม่มี ก็เลยตัดสินใจเดินผ่านประตูเข้าไป หวังน้ำบ่อหน้า หวังว่าจะมีร้านของฝากด้านใน ซึ่งการหวังน้ำบ่อหน้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเลย แม้จะมีร้านของฝากอยู่หนึ่งร้าน ของที่อยู่ในนั้นก็ดูไม่น่าอร่อยเอาซะเลย ก็เลยได้แต่ ขอโทษคนทาง กทม. อยู่ในใจที่ไม่มีของฝาก กระบี่เป็นจังหวัดที่สามารถหาร้านขายหอยชักตีนได้เยอะกว่าร้านขายของฝากจริงๆ

ระหว่างที่นั่งรอเครื่องบิน ร้าน Black Canyon กลายเป็นร้านขายดีสำหรับชาวคณะ เพราะทุกคนน่าจะอยากได้ความ "เย็น" "หวาน" เพื่อมารักษาระดับพลัง แต่บางทีก็ "หวาน" ไปนิดนึงนะจ๊ะ




รอไม่นานนัก สายการบินก็ประกาศเรียกให้ขึ้นเครื่องผ่านทาง Gate 6 พวกเราก็เดินดุ๊กดิ๊กกันเข้าไป (มา AA กลับ Nok Air)




ขากลับเราได้นั่งริมหน้าต่างที่เป็นฝั่งแดดส่อง ไม่ได้นั่งกับเพื่อนแต่ได้นั่งกับสาวต่างชาติสองคน ก็เกร็งนิดๆ แต่ความเกร็งก็หมดไปเมื่อเครื่องทำการ take off พอล้อพ้นจากพื้นดินเท่านั้นแหละ หลับค่ะ หลับตากแดดเนี่ยแหละ 55+ มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนที่มีกล่องอาหารว่างของนกแอร์มาวางบนตัก สาวฝรั่งคนข้างๆ เค้าก็วางแบบมือเบาแล้วนะ แต่เราตื่นเองตามสัญชาตญาณการระวังภัย


ขวดน้ำลายน่ารักดี 


ละพอเราตื่นมาแล้วก็ยาวเลย หลับไม่ลง แดดก็ส่องจากด้านหลัง จนต้องเอาผ้าขนหนูมาคลุมตัวอีกที เพราะรู้สึกไหม้ เง้ออออ นั่งเล่นเกม ถ่ายรูป อ่านหนังสือวนไปค่ะ ยาวยัน landing ลงดอนเมืองเลย


ปุยเมฆน่านอน https://www.instagram.com/p/BRTFbdHAX_d/


พวกเรามารวมตัวกันอีกทีตรงทางจะออก (ลงบันไดเลื่อนมา) แถวๆ ที่รับกระเป๋าเพื่อถ่ายรูปรวม หลังจากถ่ายไป 1 ช็อตก็พบว่าขาดน้องเมย์ที่ไปเข้าห้องน้ำอยู่ จึงยืนรอกันอย่างเกะกะตรงนั้นแหละ พอน้องเมย์เห็นพวกเรากวักมือเรียก จึงวิ่งดุ๊กๆ มาอย่างไว ทำให้ได้ภาพช็อตนี้มา ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน (กลับบ้านนั่นแหละ)



cr: Nopparid Ton Mokpradab


เรา จิม พี่ยูกิ น้องเกด เสือ เก้าคุง นั่ง A1 มาลงตรง BTS หมอชิต จากนั้นเก้าคุงก็แยกลง MRT น้องเกดต่อ Uber เหลือกัน 4 คนที่นั่ง BTS กัน พอมาถึงสยาม พี่ยูกิกับเราก็แยกทางจากสองคนนั้น เพื่อเปลี่ยนไปสายสีลม ยืนยาวๆ กันไป พอถึงสะพานกรุงธนฯ พี่ยูกิก็ลงไปก่อน เหลือเพียงเราไว้ตามลำพังยันสุดสถานีบางหว้า จากนั้นก็แว๊นกลับบ้านตามปกติชีวิต



ภาพหมู่ของพวกเรากับวิวสวยๆ cr: zinuzoid


ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ดี เป็นทริปที่คนเยอะที่สุดเท่าที่เคยมีมาคือ 18 คน (ทำลายสถิติ 17 คนได้แล้ว) ทุกคนดูมีความสุข มีรอยยิ้มและหยาดเหงื่อ (เพลียหนักมาก) "หยก" เป็นคนจัดทริปที่เก่ง ครั้งหน้าๆ ให้หยกจัดน่าจะดีกว่าเรา 55+ บางทีเราควรจัดทริปสไตล์นี้ คือมีที่ให้ landing จุดหนึ่งแล้วทุกคนได้ทำตามความชอบของตัวเอง หรือถ้าคิดอีกแบบคือ "แก๊งเราชอบใช้พลัง" ทริปไหนที่ได้ออกแรงมากๆ มักจะถูกจดจำได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น
  • ภูกระดึง ทริปแรกของพวกเราที่ต้องปีนป่ายขึ้นไป ต้องไปขี่จักรยานผ่านเส้นทางหฤโหดบนนั้น แถมจะขี่ตกเขากันทั้งแก๊งอีก
  • ทีลอซู กับการเดินเท้าขึ้นเขาผ่านโคลนด้วยระยะทางกว่า 10km ทั้งไปและกลับ แถมด้วยความพีคที่โดนต่อรุมต่อยรัวๆ ถึงขั้นต้องเข้า รพ. กันเป็นแถบ เป็นทริปที่เราเสียน้ำตา และเพื่อนๆ จำได้ไม่ลืม (เสียภาพพจน์หมด) 
  • 3 ภูกับหนึ่งล่องแก่งลำน้ำเข็ก ความมันส์ของการถ่ายน้ำหนักไปมาเพื่อไม่ให้ติดแก่งยังเป็นที่จดจำ (แถมมีรายการทีวีมาถ่ายพวกเราด้วย) 
  • สวนน้ำจูราสสิคที่สร้างความประทับใจให้พวกเราได้มากกว่าซานโตรินี่ เพราะได้ใช้ความสามารถของตัวเอง
  • USS สิงคโปร์ ที่พักผ่อนไม่เพียงพอแต่ก็เดินกันไม่หยุดหย่อน พอคนเยอะเกิดการแยกกันไป มีการนอยด์เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่ดี
หรือที่แท้จริงแล้ว เราจำการสังเวยข้าวของและร่างกายกันต่างหาก...
  • เกาะเต่า-นางยวน ที่ปั๊มทำการสังเวย Go Pro ไว้บนเรือ หลังจากที่เอารูปมาใส่คอมเรียบร้อย
  • หรือ แบงค์ที่เสียเลนส์ให้กับ Merlion เสือที่เล่น USS อียิปต์แล้วสนุกไม่พอ จึงทิ้งมือถือไว้ในนั้น
เรื่องราวจากผู้คนและเหตุการณ์ที่เราได้เจอระหว่างทาง เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าสถานที่ๆ เราไปเยือน เพราะมันคือ "มิตรภาพ" ที่ถูกถักทออย่างเหนียวแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในทุกครั้งที่เราได้เดินทางร่วมกัน จากทริปแรกในเดือน Jan 2013 จนวันนี้ Mar 2017 เราขอยืนยันว่า #ywcouting เป็นเพื่อนกลุ่มที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุข ถึงแม้จะมีหลายสไตล์ แต่พอมารวมกันแล้วมันกลมกล่อมลงตัวมากๆ เลยล่ะ #รักนะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์ตรงกับการโดน Facebook บังคับเปลี่ยนชื่อ ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "รอ"

สองชั่วโมง สองที่เที่ยว ด้วย เรือหางยาว เจ้าพระยา

น้องนีโม่ กับ โรคฉี่หอม